2 วัน ก่อนเป็นวิศวะคอมเกษตร ปี 2

อีก 2 วัน จากเคยเป็น ปี 1 ก็จะกลายเป็น ปี 2 แล้ว
เกือบ 1 ปีเต็มแล้วที่อยู่มา.. แต่ความรู้สึกผูกพันกับภาควิศวกรรมคอมพิวเตอร์ของผม เพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นานนี้เอง
…eXceed Camp ครั้งที่ 4…

ระยะเวลา 7 วันในค่ายนี้ เป็น 7 วันที่ได้ความรู้กลับมามากมาย
ผมคิดว่า วิธีการสอนการเขียน window application ที่ดีมันก็ต้องสอนแบบนี้แหล่ะ ใช่เลย นั้นคือสอนเครื่องมือที่จำเป็น วิธีใช้คร่าวๆ แล้วให้ไปเรียนรู้ ลองสร้างด้วยตัวเอง
พอได้ทำเอง ก็จะเข้าใจได้ จำได้ บวกกับพอทำอะไรไม่ได้ ก็มีคนคอยช่วย support ตลอดนี่ มันช่างเปรมใจจริงๆ ครับ (หรืออยากทำอะไรเพิ่มกว่าโจทย์ที่เค้าสั่ง ก็จะมีพี่มาช่วยอีก ..เยี่ยม!)
โดยเฉพาะโปรเจค 2 วันก่อนจบค่าย ก็ช่วยทำให้เรียนรู้วิธีการแบ่งงานกันเขียนโปรแกรมได้เป็นครั้งแรกจริงๆ ซึ่งผมประทับใจมาก ก่อนหน้านี้มาเวลาเขียนโปรแกรม ยังไงๆ ก็ต้องเขียนคนเดียว การแบ่งงานกันเขียนเป็นเรื่องยากมากๆ
ได้ความรู้ ความเข้าใจมากขึ้นมากครับ โดยเฉพาะเรื่องการโปรแกรมเชิงวัตถุ

มันคงจะเป็นธรรมชาติของคนเรา ที่พอได้ “รับ” จากใคร เราก็จะผูกพันกับเค้าโดยไม่รู้ตัว

อีกหนึ่งเรื่องสำคัญ คือประตูโอกาสที่ค่ายนี้ช่วยเปิดให้กับผม ให้ได้พูดคุยกับเพื่อนๆ มากขึ้น
เพราะ 1 ปีที่ผ่านมา ผมแทบไม่ได้เรียน และใช้เวลาใดๆ ร่วมกับพวกเค้าเลย
ยิ่งกับเพื่อนกลุ่มโปรเจค ที่ทำโปรเจคด้วยกันแบบไม่ได้นอนจริงๆ กลุ่มเดียวในค่าย ก็ทำให้รู้สึกว่า เราร่วมเหนื่อยด้วยกันมาจริงๆ ผมยังจำความเหน็ดเหนื่อยง่วงสาหัส จากการโปรแกรมติดต่อกัน เกิน 24 ชม. ได้อยู่เลย
ก็หวังว่า มิตรภาพที่เริ่มขึ้นจะสานต่อไปด้วยดีนะ

ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ก็เป็นค่ายรับน้องภาคคอม
เต้มสะบอมครับ
เต้นๆๆ คือสิ่งที่จำได้มากที่สุด เพราะว่าชอบ ฮา… ผมเต้นบ้าบอสะใจ(ตัวเอง)มาก
และนอกจากนี้ก็ได้พูดคุยกับเพื่อนๆ ภาคคอมมากขึ้นอีกด้วย

สรุปแล้ว ก็อยากขอบคุณรุ่นพี่ภาคคอมที่ จัดค่ายทั้ง 2 ค่ายขึ้นมาจากใจจริง
จาก 2 ค่ายนี้ ความรู้ที่ได้ มิตรภาพที่เกิดขึ้น ความรู้สึกดี ความสนุกสนาน การได้เต้นออกกำลังกาย(ฮา..) ทุกๆอย่าง ที่เป็นสิ่งที่ดีๆ ที่เข้ามาอยู่ในตัวผมตอนนี้ ผมจะระลึกเอาไว้ว่าได้มาเพราะใคร

1 ปี แม้จะมีความหมายแค่วันสุดท้าย เราก็ยังเรียกได้ว่า เป็น 1 ปีที่มีความหมายได้เหมือนกันเน่อะ

ปล. จาก 2 ค่ายนี้ นอกจากที่พูดๆมา ยังได้ทำให้ได้ ไอเดียกิจกรรมสำหรับ Cubic อีกตั้ง 3 อย่าง ฮ่าฮ่า! คุ้มจริงๆ

จดหมายเหตุปิดเทอม ’49 [1]

ผมไม่ได้เขียน blog มานานมากเลย
ช่วงเวลาที่ว่างเว้นไปนี้ มีอะไรเกิดขึ้นมากมายกับชีวิต อาจจะเรียกว่าได้เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต
 
จำได้ว่า พ่อเคยไปดูหมอ แล้วบอกว่า ชีวิตของนายอิ๊กคนนี้ จะเปลี่ยนไปประมาณทุกๆ 17 ปี…  อืม… ที่จริงคงไม่เกี่ยว

หลายๆ ครั้งที่รู้สึก เกิดแรงบันดาลใจอยากขึ้นมาเขียนมาก แต่ว่า มันไม่มีเวลาจริงๆ
จริงๆ ครับ ให้ตายเถอะ มันทำไมชีวิตมันถึงมีอะไรต้องทำขนาดนี้ก็ไม่รู้
ครั้งนี้จะเขียน blog แบบไม่คิดละกัน เขียนแบบเขียนไปเรื่อยๆ เหมือนเขียนไดอารี่เลย 

ความจริงข้อหนึ่งที่ผมนึกได้มาได้สักพักหนึ่งก็คือ ผมรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้เขียนแล้วอัพขึ้นมาบนนี้ครับ
เหตุผลก็คือ โอกาสที่มันจะหายไปนั้น มีอยู่น้อยมาก เพราะข้อมูลในนี้ต้องถูกเก็บไว้โดย msn แล้ว server ของ msn ไม่มีทางล่มอยู่แล้ว
ข้อมูลเหล่านี้ก็จะได้เก็บไว้อย่างดี ตลอดไป ดีใจเป็นบ้า ฮาฮาฮาฮา

คือ ที่นึกแบบนี้ขึ้นมาได้ก็เพราะ ผมเขียน ไดอารี่เก็บในเครื่องด้วย ที่นี่เวลาเครื่องมีปัญหา แล้วก็เสียวไส้ทุกทีว่า ไดอารี่จะหายไหม
ฝากไว้กับ msn นี้แหล่ะ ปลอดภัยดี
(เอ๊ะ หรือ space มันมีระบบเหมือน hotmail หรือเปล่า …ถ้าไม่มาอัพเดท จะถูกตัดทิ้ง ใครรู้ช่วยบอกที)

ตั้งแต่ปิดเทอมมานี้ เริ่มต้นด้วย การเข้าค่ายโอลิมปิกคอมพิวเตอร์เป็นครั้งสุดท้ายของผมละกัน 
ประมาณ กลางเดือนมีนา ถึง ปลายเดือนเดียวกัน
รอบที่เข้าครั้งนี้ เป็นรอบ 20 คนสุดท้ายของประเทศไทยแล้ว หลังจากที่คัดๆๆๆๆ จาก สอวน. สสวท. มาหลายรอบเหลือเกิน มองกลับมาจากตอนนี้เอง ก็น่าตกใจเหมือนกันนะ ว้าว ผมมาถึงรอบแบบนี้เลยหรอเนี่ย

ความรู้สึกของการอยู่ท่ามกลาง 20 คนเหล่านี้ ไม่ธรรมดาเลยครับ 
เวลาคุยในเรื่องวิชาการ คำนวณ คืออะไรเทือกๆ นี้ น้อยครั้งที่จะรู้สึกว่า ไอ้พวกบ้านี้มันคุยบ้าอะไรกันอยู่ มากเท่าอยู่ในค่ายนี้
การใช้ชีวิตในค่ายนี้ เป็นอะไรที่ผมบ้าระห่ำที่สุด ฟิตการเรียนที่สุดในชีวิตแล้ว 
 
นั้นก็คือ ตื่นตอน 8.30 ไม่อาบน้ำ แค่แปรงฟันแล้วก็เปลี่ยนชุด (ไม่อาบน้ำ 555)
แล้วก็เข้าห้องเรียนตอน 9 โมง เรียนๆๆ แล้วก็กินอาหารว่างที่ค่ายเตรียมไว้ให้(อาหารเช้าของผม เพราะตื่นไม่ทันกินอาหารเช้าไง)
ตอน 10.30 แล้วเรียนๆๆต่อ 
กินอาหารตอนเที่ยง 
ระหว่างพักเที่ยง ผมจะฟิตฝึกทำโปรแกรมต่อ ก่อนเข้าเรียนตอนบ่ายโมง 
เรียนไป มีปฏิบัติเขียนโปรแกรมไป ถึงบ่าย 4 โมง จะมีเวลาพัก 1 ทุ่ม ระหว่างนี้ผมพักผ่อนตีปิงปองและไปเขียนโปรแกรมต่อบ้าง
อาจารย์ให้โจทย์ฝึกเขียนโปรแกรมต่อถึง 4 ทุ่ม
ผมมักจะอยู่ทำต่อถึงเที่ยงคืน เพราะทำไม่ทันเท่าไหร่ (จบค่ายเหลือโจทย์ที่ทำไม่ได้อยู่หลายข้อเลย)
อาจารย์มาปิดห้องเรียน ผมก็แบกคอมขึ้นไปเขียนโปรแกรมต่อที่ห้องนอน ถึงประมาณระหว่าง ตี1 ถึง ตี3 แล้วแต่วัน แล้วก็นอน

เป็นชีวิตที่ มีแต่การเขียนโปรแกรมจริงๆครับ ทุ่มเทที่สุดในชีวิตแล้ว ผมรู้ว่าผมทุ่มเทมากกว่าคนอื่นๆหลายๆคน แต่ผมก็ไม่ติดรอบ 10 คนสุดท้ายอยู่ดี 
แต่ก็ยังคุ้มกับแรงที่เสียไป เรียกได้ว่า จากค่ายนี้ผม พัฒนาฝีมือการเขียนโปรแกรมมากขึ้นมาก(พัฒนาความคิดด้วยรู้สึกได้เลย) มากกว่าตอนค่าย 30 คนที่เข้าพร้อมกับเตี้ย(พลับ วิดวิน)มากเลยเพราะฟิตมากกว่าเยอะ ผมรู้ดีว่าถ้าผมไม่ฟิตแบบนี้ จากที่อยู่ระดับกลางๆของห้อง จะต้องอยู่ระดับล่างๆของห้องแน่นอน 

แม้ผมคิดว่าสิ่งที่เรียนไปนั้น ผมเข้าใจทุกๆอย่าง และที่ผมทำข้อสอบได้น้อยกว่าคนอื่นนั้น เป็นเพราะประสบการณ์ที่น้อยกว่า มีหลายๆคนที่เคยเข้าค่ายนี้มาแล้วเมื่อปีที่แล้ว เค้ามาเรียน รอบ 2 รอบ 3 ย่อมได้เปรียบ ถ้าผมถ้าเรียนบ้าง ไม่มีทางแพ้แน่ๆ แต่ ไม่เป็นไรมัน แก้ไขอะไรไม่ได้ ผมเข้ามาช้ากว่าคนอื่นเอง

ถ้าผมได้เข้ารอบถัดไป ก็จะมีสิทธิ์ที่จะได้ทุนไปเรียนเมืองนอก ฟรีๆ เฮ้อ… พลาดไปแล้ว
จบลงแล้วครับ หนทางคอมพิวเตอร์โอลิมปิกของผม มันปิดฉากลงแล้ว ปีหน้าผมเข้ามหาลัยก็ไม่มีสิทธิ์อีกต่อไปแล้ว

ยังไงก็ตาม ผมคิดว่า มันจบลงด้วยความประทับใจ
หนทางที่เริ่มต้นด้วยการรู้จักพี่นัท เรียนกับพี่นัท สอบสสวท.ครั้งแรกตกรอบไปอย่างเฉี่ยวๆ จึงเข้าเรียนค่ายสอวน.แทน ค่าย1… ค่าย2… ในเกษตรนั้นง่ายดาย ก่อนจะไปรอบต่อไป ผมตัดสิทธิ์ตัวเองด้วยการไม่สอบ และไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่โรเชสเตอร์ เริ่มใหม่…ปีใหม่ ผมรู้สึกว่าผม ไม่มีทางที่จะสอบสสวท.ครั้งที่2ตกรอบแน่ๆ ตอนนั้นติวเด็กคนอื่นๆไปสอบด้วยซ้ำ แต่ผมสอบไม่ติด ตอนนั้นร้องไห้เลย ผิดหวังครั้งแรกๆในชีวิต นี่คือจุดที่ทำให้ผมอดเข้าสสวท.ตั้งแต่ ม.5 

ผมเลยเข้าสอวน. ค่าย 1 ค่าย 2 ค่าย 3 ผ่านไปแบบสุดจะตื่นเต้น ถ้าผมตกรอบทุกอย่างมันก็จบ สอบทั่วประเทศได้เหรียญ เลยได้เข้ารอบ สสวท. แบบไม่ต้องสอบ หลังรอบปฏิบัติสสวท. แล้วติดก็ดีใจมากๆ ที่จะได้โควตาแล้ว หลังจากนี้ก็มาเข้าค่าย 30คน 20คนแล้วก็ตกรอบไป

ถามว่าผม ได้อะไรจากเส้นทางเส้นนี้… คอมพิวเตอร์โอลิมปิก… อืม…
แน่นอนมันทำให้ผมเขียนโปรแกรมเป็น และคล่องกว่าคนอื่น พอเรียนมหาลัย ผมได้เพื่อนที่สนใจทางเดียวกัน
แต่ให้ตาย ที่ชอบสุดๆคือ การฝึกคิดที่ได้สั่งสมมานี้ มันดีจริงๆ

ทุกอย่างที่ได้มา มันดีมากๆจนผมรู้สึกว่า ผมอยากให้น้องๆได้เข้ามาบ้างจัง 
เพราะผมจะไม่ลืมเลยว่า ช่วงชีวิตนึงนะ เราก็ได้มาเข้าสู่วงจรระห่ำๆ บ้าๆ อันนี้มาด้วย

โปรดติดตามต่อตอนไป เร็วๆนี้

ระหว่าง

ตลอดเวลากว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย และงานที่สำคัญๆเกี่ยวกับ ม.6 ก็คือ งานสาธิตสามัคคี และการเลือกหัวหน้าฝ่ายต่างๆของงานบ้านผี
และตลอดเวลาที่ผ่านมานี้
ผมเรียน อยู่ที่ สสวท. มาตลอดครับ

ตอนนี้ ที่ผมได้มีโอกาสมานั่งพิมพ์ blog อยู่นั้น ก็เพราะว่าเป็นโอกาสพิเศษมากจริงๆ — ที่จริงทาง สสวท. สุดเคี่ยวนั้น เค้าห้ามเล่นอินเตอร์เน็ตและออกนอกหอพัก เหมาช่วง 3 สัปดาห์ที่เก็บตัว — แต่ที่ได้พิมพ์ตัวอักษรตัว “นี้” ออกมาอีกด้วยความสะใจนั้นก็เพราะ เหตุการณ์ขัดข้องเรื่องการเรียน รด. ชดเชย ซึ่งผมขี้เกียจเล่ารายระเอียดที่น่าหลับ เอาเป็นว่าได้กลับมาอยู่บ้านเป็นเวลา 6 ชม.

ผมรู้สึกดีใจมากนะเนี่ย ที่ได้ฉวยโอกาสนี้มา ระบาย ความรู้สึกต่างๆที่มันปริ่มๆอยู่ที่ขอบความคิด
(“ขอบความคิด”… เป็นคำที่ดูเท่ดีแฮะ 555)

“ใจนึงก็เสียดายครับ” ที่พลาดโอกาสหนึ่ง (และสอง และสาม ..) ของชีวิตไป
จนถึงบัดนี้ ภาพความทรงจำเกี่ยวกับ แสตนด์เชียร์สามัคคีของผม ก็ต้องยอมรับว่าฉายไปหยุดอยู่แค่สมัยตอน ป.6 ที่ไปเชียงใหม่

สาธิตสามัคคี ปีนี้ เป็นยังไงบ้าง ผมก็ทราบเศษเสี้ยวบรรยากาศมาจากคำบอกเล่าของเพื่อนๆมาบ้างแล้ว ฟังไปก็แล้วก็รู้สึกครึ้มอกครึ้มใจดีครับ เพื่อนของเรา รุ่นของเราได้มารวมแรงกันทำเป็นสิ่งๆนึงที่เป็นเครื่องให้จดจำ กันและกัน ได้ต่อไปนานๆ ส่วนตัวผมก็คือได้ รวมพลัง! ไปกับเค้าด้วย ช่วงก่อนวันจริงเท่าที่จะทำได้ (เพลตกระพี้จั่นเกมส์ และ เพลงสามัคคีจัง) 
สำหรับวันจริง ก็คงได้แค่รวมใจ…

บ้านผีเป็นอีกงานหนึ่งที่ อยากทำมากมาย คิดไปแล้ว ออกจากค่ายไป นอกจากจะต้องสู้กับงานการบ้านซึ่งสะสมตลอด 2 สัปดาห์ที่ขาดเรียนไปแล้ว จะสู้เพื่อบ้านผีไปให้ได้

ต้องขอบอกเป็นบทสรุปไว้ตรงนี้เลยว่า คิดถึงโรงเรียน 
แต่ขอบอกอีกต่อด้วยว่า ไม่ใช่ว่าเรียนที่ สสวท. ไม่ดีนะครับ เพราะนอกจาก “ใจนึง” ที่เสียดายอะไรๆที่ผมพลาดไปแล้ว ผมยังมีอีก “ใจนึง” อยู่นะ

คงถือเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตเลยทีเดียว ที่จะได้มาอยู่ในค่ายคอมพิวเตอร์โอลิมปิก ของ สสวท. แบบนี้ เพราะปีหน้าย่อมไม่มีโอกาสสอบเข้ามาอีก เหมือนกับน้องๆ ม.5 เพื่อนร่วมค่ายของผมหลายๆคน
และถือเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับผมเลยอีกทีเดียว กับระยะเวลาพิเศษๆไม่เหมือนอะไรทั่วๆไปแบบนี้

อยากรู้ไหมครับว่า ชีวิตประจำวันของนักเรียนที่ถูกเก็บตัวเพื่อคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทย รอบ 25 คน (รอบแรก) นั้นเป็นยังไงบ้าง…
ไว้จะมาบอกหลังเข้าค่ายจบนะครับ (ผมบันทึกไดอารี่ไว้อยู่แล้ว) 

แต่ยังไงก็ตาม แม้จะผ่านไปแค่เกือบครึ่งค่าย ผมก็พูดได้เต็มปากแล้วหล่ะครับว่า ผมรู้สึกประทับใจ ไม่ว่าจะด้วยเรื่อง ความรู้ที่ได้ ทักษะการเขียนโปรแกรม เพื่อนที่สนุกสนาน หรือแม้แต่ อาหารการสำราญพุง ทำให้มีแรงบันดาลใจขึ้นมามากที่อยากจะให้ รุ่นน้องสาธิตเกษตรของผม ได้มีโอกาสตรงนี้เหมือนผมบ้าง

ทุกคืนหลังจากเขียนโปรแกรมช่วงดึกเสร็จแล้ว ก่อนจะอาบน้ำ ผมจะขึ้นมาที่ห้องพักเพื่อ ถอดสิ่งที่ไม่จำเป็น และ หยิบฉวยสบู่ ยาสระผม ผ้าเช็ดตัว
เหมือนกับบรรยากาศช่วงนั้นจะส่งเสริม ความรู้สึกอ้างว้างเป็นพิเศษ
ทุกคนในห้องเงียบ

ผมค่อยๆหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงข้างซ้าย และพลิกดูหน้าจอ
เหมือนกับเพื่อจะพบว่า… ไม่มีใครโทรมาหาผมเลย
ก็ไม่ใช่ว่า เพื่อนที่นี่ไม่ดีนะครับ…
แต่ต้องขอบอกสรุปไว้ตรงนี้อีกทีเลยว่า

คิดถึง

ปล. ผมเข้าวิศวคอมเกษตร ใครยังไม่รู้ว่าจะเข้าอะไร มาเข้าที่นี้กันนะ
ปล2. “เพื่อนสนิท” ซึ้งออก… ใครไม่ชอบ ฮึ
ปล3. แล้วเจอกันอีกที หลัววันที่ 5 พ.ย. วันนั้นจะได้กลับบ้านอีกที

สอบคอมพิวเตอร์

วันนี้ผมสอบ สสวท. คอมพิวเตอร์ รอบ 2 วันที่ 2 มาเมื่อตอนเช้า
สอบรอบที่ 2 แตกต่างกับรอบแรกอย่างสิ้นเชิง

รอบแรก – ข้อสอบเลข(เฉพาะ Discrete math) จนไปถึงวัดเชาว์
รอบ 2 – เขียนโปรแกรมลูกเดียว

ย้อนความไปถึงเมื่อสมัยเด็กอายุ 15 ปีนี้ยังมีคำนำหน้าชื่อว่า เด็กชาย/เด็กหญิง …ก็ปีที่แล้วไง
ผลสอบคอมพิวเตอร์ สสวท.รอบแรกของผมคือ  ตกรอบ
ทั้งๆที่รู้สึกมั่นใจมากมายก่อนที่จะสอบ เพราะตัวเองเป็นคนติวสอบเสียด้วยซ้ำ
คงเป็นเพราะ ประมาท  แต่เอาเถอะ มันผ่านมาแล้ว (ตอนนั้นก็แสนเศร้าเลยนะ)

กลับมาที่ปีนี้ ผมผ่านเข้ามาสอบรอบที่2 โดยผมไม่สอบรอบแรก เพราะว่า ไต่เต้าขึ้นมาทาง สอวน. แทน (คือ มันเป็นอีกทางนึงหน่ะที่จะทำให้เข้ามาสอบได้เลย) และผลสอบรอบ2ของผมในปีนี้ …ยังไม่ประกาศเสียหน่อย

ผลยังไม่ประกาศ ก็เลยขอเล่าบรรยากาศการสอบพอให้เห็นภาพว่า งานสอบแข่งขัน ชื่อฟังดูยิ่งใหญ่ — คอมพิวเตอร์โอลิมปิก — ที่แท้จริงแล้วมันก็ไม่ได้อลังการมากมาย โดยเฉพาะการสอบของผมในวันนี้

วันแรก หรือเมื่อวาน
นั่งรถเมล์มาลงทะเบียนตอน 8 โมงครึ่ง เข้าห้องน้ำ ฟังคำชี้แจง เดินเข้าห้องสอบ แล้วนั่งเก้าอี้ตัวเล็กที่พอหย่อนก้นไปโดนแล้วเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด  เขียนโปรแกรมไปครึ่งข้อ จาก 3 ข้อ …หน้าจอโปรแกรม Tucbo C V.3 ที่ใช้เขียนโปรแกรมถูก restore down (ย่อหน้าต่างให้เล็กลง) พร้อมมี หน้าต่างแจ้งการปิดเครื่องอัตโนมัติ!  อะไรกันนี่ สอบระดับประเทศมีแบบนี้ด้วย  ผมนั่งทำใจกับโปรแกรมครึ่งข้อที่ต้องเขียนใหม่ทั้งหมด  วันนี้ผ่านไปพร้อมกับ การปิดอัตโนมัติ 4 ครั้ง! ซึ่งไม่เป็นปัญหาเกินไปเพราะผมหมั่นบันทึกโปรแกรมไว้เสมอ หลังเจอบทเรียนครั้งแรก  สอบเสร็จรู้สึกดี ทำได้ทุกข้อ มารู้อีกทีว่ามีผิดบ้างในบาง test case แต่ก็ไม่เป็นไร แอบนึก(บ่นด้วย)ระหว่างไปโรงอาหารว่า เสียชื่อวิศวฯเกษตรจริงๆ สอบระดับนี้ปล่อยให้เครื่องมีอาการผิดปกติ…

วันที่ 2 หรือวันนี้
ผมคิดว่าเป็นเพราะ การปิดอัติโนมัติเมื่อวาน ทำให้ผู้จัดย้ายห้องสอบมาที่ใหม่ที่ตึกสูงใหญ่ ภายในห้องติดแอร์ และที่ชอบมากคือเก้าอี้นั่งสบายที่มีสีเหลือง! เหลืองมาก เหลืองอ๋อยเลย  แต่ผมไม่เข้าใจเสียจริงๆว่า ทำไมผู้จัดถึงไม่ติดตั้งโปรแกรม Turbo C ที่บังคับใช้มาให้ด้วย แจกข้อสอบ จับเวลาแล้ว แต่ไม่มีโปรแกรมสำหรับทำข้อสอบ ผมรอสักพักเจ้าหน้าที่จึงมาบอกURLสำหรับดาว์นโหลด  วันนี้ผมทำข้อสอบตามปกติ แต่มีการแก้ข้อสอบบ่อยมากจนรู้สึกว่า ไม่มีการตรวจสอบเอาเสียเลย  ที่สำคัญ ไฟดับ! 2รอบ! อะไรกันนี่ นี่หรือเมืองพุทธ.. เอ้ย การสอบระดับประเทศ วันนี้ผ่านไปแบบ เรื่อยๆเหมือนเดิม ทำได้ทุกข้อ แต่มีผิดบาง test case  พอผมสอบเสร็จก็เดินไปโรงอาหาร  กินข้าวเที่ยงแล้วก็ไป workshop ที่ click radio ต่อ…

สรุปแล้ว คือ เรื่อยๆครับ ผมไม่รู้จริงๆว่าจะติดหรือไม่ติด เพราะว่าการทำได้ทุกข้อนี่ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะติดหรือไม่ test case บางอันที่ผมทำผิดไปก็อาจจะทำให้หลุด  คนที่เก่งๆมีเยอะมากมาย  ฉะนั้นก็รอลุ้น ประกาศผลสอบเมื่อไหร่ก็รู้เมื่อนั้น แต่ประกาศผลสอบวันไหนผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

อยากติดนะ แต่ไม่ติดก็ได้ฟ้า…เอ๊ะยังไง เอาเถอะ เอาเป็นว่า 
ลุ้นเอา! เราลุ้นกัน!