เรื่อยๆ ช่วงปิดเทอม

ผมจะทำอย่างไรให้มีชีวิตที่สมดุล
บางครั้งผมรู้สึกว่า ที่กำลังทำอยู่นี่ มันเสียเวลา ไม่คุ้มค่าถ้าเอาความสามารถที่มีอยู่ไปทำอย่างอื่นอาจจะคุ้มกว่านี้
บางครั้งผมรู้สึกว่า สำคัญคือตอนนี้เรามีความสุขดีมากกว่านะ
บางครั้งผมคิดว่า เราอาจไม่จำเป็นต้องคิดมากกับชีวิตที่แสนสั้นนี้
ในทางตรงข้าม บางครั้งผมคิดว่า ที่ทำอยู่มันคุ้มแล้วกับการลับความสามารถ หรือบางครั้งรู้สึกมีความทุกข์ และบางครั้งก็คิดว่า เราต้องคิดมากกับชีวิตซะหน่อยนะ
เฮ้อ.. เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย
การจะหา ความสมดุล ให้ชีวิจนั้นมันยากเย็น แม้ถ้าอยากเท่ก็แค่บอกว่า สมดุลที่อยู่ใจเรา ก็จบ ฮา…

การได้เข้าค่าย JSTP เป็นประสบการณ์ที่ดี ได้พบคนหลายๆคนที่เป็นคนที่มีไอเดียด้านการทดลองวิทยาศาสตร์ ที่อยากจะทำ
การคัดคนเข้าโครงการนี้ คือการสัมภาษณ์เท่านั้นเอง ซึ่งก็เจ๋งดีนะ คือดูที่ความคิดเอา
แต่ก็อาจจะมีช่องโหว่ของการคัดเลือกก็คือ คนที่เข้ามาบางคน ก็คือคนที่เป็นแต่โม้แบบฉะฉาน โดยที่สมองไม่ได้บรรจุอะไรซักเท่าไหร่ (อาจคือผม)
กิจกรรมในค่ายนี้ เหมือนไปพักผ่อนหย่อนใจ มีอาหารอุดมสมบูรณ์ สบายใจอ้วน

นอกจากนี้ก็มี ขบวนค่าย Cubic ทั้งหลาย
สำหรับ Cubic-O 2nd นี้ แม้ซ้อนทับกับเวลาค่าย JSTP แต่ทุกอย่างก็ยังอำนวยให้ผมสามารถเข้าไปช่วยนิดช่วยหน่อยได้
ประทับใจนะ ค่ายนี้ สำหรับเด็กคอม และเด็กฟิ(ม.ต้น)ที่ผมได้ไปสอนฟิสิกส์นิดนิด และโม้มากมาก
สำหรับค่าย ICT Fun Camp 4th เป็นค่ายที่ผมมีความสุขมาก เพราะว่าได้ทำอะไรในสิ่งใหม่ๆ ทั้งอัจฉริยะข้ามวัน สอนเกร็ดIT ระบบแลกรางวัลRoute Card และกิจกรรมเข้ารหัสรัก.. ปักหัวใจ แค่นึกก็รู้สึกดีที่ได้สร้างสรรค์อะไรขึ้นมาแล้ะ
ตอนนี้ I want ทำ MV หรือหนังสั้นสุดๆเลย ใครมาอ่านแล้วอยากบ้าทำด้วยบอกเลยนะ I WANT!! ครับ

ปล. เลิกรับ a day แล้ะ เพราะคอลัมน์ที่ติดตามมีแค่ โลกจิต ของแทนไทเท่านั้นเอง สมัคร way แทนดีกว่า
ปล.2 การคิดถึงใครทุกๆ นาที มีอยู่จริงแฮะ

ปิดเทอมนี้ รู้สึกเหนื่อยจัง

ปิดเทอมนี้ อาจจะเป็นปิดเทอมที่คล้ายๆ ปีสองปีที่แล้ว เพียงแค่ไม่มีค่ายโอลิมปิก
แต่สำหรับผมแล้ว รู้สึกว่าเป็นปิดเทอมที่เหนื่อยที่สุดเลย
สงสัยจะเป็นเพราะมีสิ่งที่ต้องทำ ด้วยความฝืนใจอยู่บ้าง

ผมไม่แน่ใจว่า คนส่วนใหญ่แล้ว ฝืนใจทำอะไรบ้างไหม อาจจะเยอะบ้าง น้อยบ้าง
แต่ผมรู้สึก ชีวิตเรานี่ไม่ต้องฝืนใจทำอะไรเท่าไหร่เลย
ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ ว่านี่ มันเป็นเรื่องดีหรือเปล่ากันนะ
ช่วงนี้ พอต้องฝืนใจอะไรนิดหน่อย เลยรู้สึกมากหน่อย

<14-16 และ 19 มีนาคม>
สอนโปรแกรม iLife เด็กในโครงการเซ็นทรัลบัณฑิตน้อย
เด็กที่สอนเป็น เด็กน้อยจริงๆ ครับ ประมาณ ช่วง อนุบาล 3 ถึง ประถม 3 เท่านั้นเอง
และความรู้สึกที่ได้จากการสอนวันแรก คือ
อยากตายครับ!

ผมอยากจะออกไปเลย ไม่กลับเข้ามายุ่งในห้องเล็กๆ ที่อยู่กับเด็ก เจ็ดแปดคนนี้อีก
เพราะไม่คิดเลยว่า เด็กวัยนี้มันจะพูดไม่รู้เรื่องขนาดนี้ ควบคุมไม่ได้ และยังไม่ฉลาดขนาดนี้ 555

มีเด็กอ้วนเกเร ที่หัวรุนแรง ชอบทำร้ายเพื่อน และจำบทพูดละครไม่ได้ซักที (ยาวประมาณครึ่งประโยค) น้องคนนี้ใช้หมอนตบแว่นผมหลุดเลย เจ็บมาก
มีเด็กผอม ง๊องแง๊ง ร้อง อ้าาาาาาาๆๆๆๆ ไม่จบ ไม่รู้เป็นไร
เจอแบบนี้ผมก็เลยรู้สึกเซ็ง อยากกระซวกไส้เด็กขึ้นมาสุดๆ (โปรดนึกภาพการ์ตูนโรคจิตDARKสุดๆ ของ ทรงศีล ทิวสมบุญ)

กลายเป็นไม่ต้องสอนหน่ะครับ เหมือนมาเลี้ยงเด็กมากกว่า
ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

แต่ก็ ok นะครับ วันท้ายๆ ผมก็รู้สึก ok ดีแล้ว มันเป็นประสบการณ์ที่แปลก+ดี
เอาเข้าจริงๆ ที่ผมคิดว่าเด็กเล็กขนาดนี้ควบคุมไม่ได้นั้น มันก็ต้องมีวิธีล่อหลอกที่ดี
เช่น “เอ้าาาาา เดี๋ยวเรามาตั้งคำถามอะไรเอ่ยกันดีกว่านะ” แล้วทุกคนก็จะหยุดความโกลาหล กลับมาพร้อมหน้ากันเลย
มีเรื่องติ๊งต๊อง ในวันท้ายๆ ที่ไปสอน
เด็กอ้วนโง่เกเรคนนั้น เอาแขนไปแตะโน้ตบุ๊ตแล้วโดนไฟช็อค เลยร้องออกมา “อุ้ย! ไฟฟ้าสะเด็ด”
หรือตอนที่ถามคำถามอะไรเอ่ยกัน ก็มี เด็ก ป.5 ที่โตโดดอยู่คนเดียว ถามขึ้นมาว่า “แล้ว ล. อะไรกินเลือด”
เด็กๆก็ทายไปกัน ลอลิง ลอโน้นลอนี้ ผิดๆๆๆๆๆๆ ผิดหมดๆ จนทุกคนยอม แล้วนึกภาพเด็ก อ.3-ป.3 แต่ละคนจ้องไปรอฟังคำตอบตาแป๋วนะครับ
และคำเฉลยก็คือ
“ลอริเอะ… ก็ลอริเอะกินเลือดไง”
แล้วห้องก็เข้าสู่โหมดเงียบ….

…ความรู้สึกที่ มีน้องๆ มาเกาะขากอดแขน ตะโกน”พี่อิ๊กๆๆๆๆ” นี้มันก็อดรู้สึกดีไม่ได้นะครับ
สรุปว่าผมก็ผูกพันกับไอ้เด็กน้อยเวรๆ ที่วันแรกทำเอาประสาทไปแล้วเหมือนกัน

<23 มีนาคม>
หลังจากไป Commart เป็นครั้งแรก กลับมาแล้ว ก็ไปเกษตรสโมสร
เป็นวันที่ได้ลองอะไรหลายๆ อย่างดี เป็นประสบการณ์ชีวิตครับ
ต้องงี้แหล่ะ มันต้องรู้ให้ครบว่าอะไรเป็นยังไง
ขอบคุณพี่เจดมาก มา ณ ที่นี้ ที่ช่วยมาส่งให้ถึงบ้าน เมื่องั้นผมคงย่ำแย่ครับ

<24 – 30 มีนาคม>
my first KUS Fun Camp! (ที่หมองหม่น)
กิจกรรมที่น้องๆ คิดขึ้นมานั้น น่าสนุกดีหลายกิจกรรมเลย ผมชอบมากๆ
แต่ก็มีโอกาสลงไปดูไปช่วยน้อย โดยเฉพาะช่วงหลังๆ
โคตรเศร้าเลยครับ
แต่ก็มันจำเป็นหนิ่เน่อะ อยากไปดูจังเล้ย
ถึงวันนี้ยังโศกอยู่ลึกๆ

<31 มีนาคม – 7 เมษายน>
ค่าย innovator ที่ผมรู้สึกว่า ผมเหนื่อยแสนสาหัสกับงานนี้มาก (แต่ก็คงเหมือนๆ กับทุกๆ คนที่ทุ่มเทกันแหล่ะนะ อืม…)
ผมก็ดีใจที่อะไรมันออกมาได้ดี
ก็ไม่รู้ว่า ผมมีส่วนช่วยอะไรแค่ไหนเหมือนกันนะครับ
ค่ายนี้เป็นค่ายที่พิเศษหลายๆ ทำให้ผมได้รับรู้ความรู้สึก ของที่หลายๆ คนคงได้พบเจอมานานแล้ว ว่ามันเป็นเช่นไร

<8 เมษายน>
ไปดู เงิน เงิน เงิน the musical ของ AF มาแหล่ะครับ
ไปดูที่พารากอน(เจอจันทรีที่พารากอนด้วย ฟลุ๊คจัง!) ตอนเข้างานเค้าให้มี ทำบัตร smart purse ด้วยครับ ตลกดี ตอนแรกกะจะไม่ทำแล้ะ แต่เห็นว่าฟรี เลยทำ 555

ตอนเข้าไปในโรง ก็พบว่า สถานที่ไม่ดีอย่างที่คิดเลย เป็นพารากอนซะเปล่า กว้างอย่างเดียว แต่ที่นั่งนั้นเป็นเก้าอี้ เรียงๆกัน ธรรมดาเป็นที่สุด
แถมมี แถวที่พื้นที่มันไม่ต่างระดับกับแถวหน้า ซึ่งทำให้โดนบัง(เซ็งเป็ด)ได้ …และแถวนั้นคือแถวที่ผมนั่ง เฮ…
และก็ มีคนมานั่งบังเซ็งเป็ดจริงๆครับ

แต่เหมือนฟ้าดลใจ จู่ๆ คนที่บังผมก็หายไปไหนไม่ทราบ หลังbreak เลยดูครึ่งหลังได้สบายใจมีความสุข
โดยรวมแล้ว ละครเรื่องนี้สนุกมากๆ แต่ผมชอบมากกว่า ทวิภพซะอีก อาจจะด้วยเพลงมั้ง เพลงเพราะจริงๆ
มีความสุขครับ

และมันก็เหมือน ฟ้าประทานมาอีกแล้ว!
นั้นก็คือ จากการที่ผมทำไอ้ บัตร smart purse นั่นไป ทางเค้าได้มีการสุ่มผู้โชคดี 3 คน!
และ 3 คนนี้จะมีสิทธิ ได้ไป meet & greet กับ เหล่านักแสดง AF มากมาย ว้าวววว!
แต่ ฟ้าท่าจะมึน เพราะผมเป็นคนที่ แทบไม่รู้จักใครใน AF เลย -_-”
คือ รู้สึกโชคดีมากๆ แต่ก็รู้สึกว่า เป็นโชคดีที่ถ้าคนอื่นได้ เค้าคงจะดีใจคุ้มว่าเราเป็นไหนๆ

แต่สรุปมันก็แค่ เข้าไป ถ่ายรูปๆๆ ยังไม่ได้ปราศรัยอะไรกันเท่าไหร่ก็ ออกๆๆๆ
ก็ ok ได้ meet & greet ซักครั้งในชีวิต

<9 เมษายน – ปัจจุบัน>
ค่าย Cubic-O ที่ปีที่แล้วได้เริ่มต้นขึ้น ก็มีคนมาสานต่อแล้ว โดยน้องน้ำฝน รู้สึกดีใจจัง
แต่ผมก็รู้สึกเสียดายมาก พอได้รู้ว่ามีน้องๆ พหุภาษาหลายคนมากมายที่ไม่สามารถเข้าค่ายได้ เพราะว่า ค่ายนี้ไม่ค้างคืน
ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่าจะจบด้วยความรู้สึกอะไร เพราะมันอีกนาน ค่ายนี้กินเวลาไปถึง เกือบสิ้นเดือนเลย
รู้แต่ว่า สอนแบบชิวกว่าปีก่อนมาก ไม่ค่อยเตรียมตัวเท่าไหร่ 555 (อย่าให้น้องเข้ามาอ่านเลย)

อืม…
มองความรู้สึกตัวเองตอนนี้
มองสิ่งที่ทำมาตลอดปิดเทอมนี้
ผมรู้สึกว่า มันหนักเกินไป… คิดว่าถ้ามีโอกาสจะต้องพยายามควบคุมอะไรให้มันไม่เกินไปแบบนี้
ผมรู้สึก อยากจะหยุดทำอะไรทุกอย่างมากๆ ขอเถอะ แค่พักสักสองสามวัน มันอาจจะทำให้ความเหนื่อยสะสมมันหายไป
นี่ไม่ได้พักเลย…

อยากจะได้ไป เที่ยวกับเพื่อนๆ บ้าง
วันนี้เจอ ป๊อป แวะมาโรงเรียน บอกว่าเที่ยวมามากมาย ได้ประสบการณ์อะไรเยอะมาก ก็รู้สึกอยากไปจริงๆ
ชีวิตด้านการงานมันเริ่มเกินสมดุลแล้วหน่ะครับ นั่งอยู่ตอนนี้ก็เหมือนมีอะไร โหยหวนอยู่ในใจตลอด
แต่ผมก็เข้าใจดี ถึงสิ่งที่ผมทำขณะนี้ ว่ามันเป็นทางที่เหมาะสมแล้ว ที่ผมเลือก เมื่อคิดจาก อนาคตอันใกล้และอันไกล

ปล. ติดโครงการ JSTP แหล่ะ เดี๋ยววันที่ 23-28 เมษานี้ จะได้เข้าค่าย จะเป็นนักวิจัยแล้วเฟ้ยยย

คุยก่อนเปิดเทอม

อีกไม่ถึง 30 ชั่วโมงก็จะเปิดเทอมซะแล้ว 
เร็วมากทีเดียว

ที่จริงไม่ได้จะมาบ่นเรื่องเปิดเทอมหรอก แต่จะมาบอกว่า…. 
มังกรกระดาษ เจ๋งที่สุดในจักรวาลเลยย!!!
อย่า งง
มังกรกระดาษที่ว่า ผมอัพขึ้นมาให้แล้ว(อยู่ด้านล่าง) 
ลองโหลดไป ปะ-ติด-ปะ-ต่อ-ปะ-แปะ ตามดู ละกัน
เคล็ดลับอยุ่ที่ว่า ต้องหัวบุ๋มนะ! ถ้าไม่บุ๋มก็… จบ
คือ มันเป็นภาพลวงตาที่ so powerful ที่สุดตั้งแต่เกิดมาแล้ว!!! ต้องลอง

ไหนๆก็ไหนๆ แนะนำอะไรดีๆต่อ
ช่วงนี้ผมเพิ่งทดสอบรับ ข่าว RSS ดู 
ลองมาได้ 2 อาทิตย์แล้ะ ก็รู้สึกดีมาก แนะนำให้ลองนะครับ
ใช้ของ google reader หน่ะ ลองsearchดู แล้วก็สมัครใช้

เท่าที่สมัครรับข่าวมาตอนนี้ก็คือ จาก arip กรุงเทพธุรกิจ ผู้จัดการ(ซึ่งสมัครรับเฉพาะข่าว IT เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ได้ (กรุงเทพธุรกิจก็เหมือนกัน)) openonline(เว็บนี้แนะนำว่ามีประโยชน์มาก น่าอ่าน) blognone แล้วนอกจากนั้นก็ พวก space หรือ blog เพื่อนๆหรือนักเขียนที่ติดตามอะนะ
ผลก็คือ ประหยัดเวลาการไล่ check update ของเว็บต่างๆสุดยอด เหมาะสำหรับคนที่ชอบอ่านblogคนอื่นมากๆ แล้วนี่ก็ทำให้ผมได้ข่าวสารกว้างขึ้นมากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น(ในที่นี้หมายถึงด้าน IT เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์นะ)

คิดว่ารู้ตัวว่าเขียนไม่ค่อยรู้เรื่อง ลองดูละกัน ใครสนใจลองมาถามได้แต่อาจขี้เกียจตอบ ลองศึกษาดู สำคัญเหมือนกัน โลกยุคข่าวสารนี่นา ถ้าเรารู้ข่าวสารกว้างขวางก็เจ๋งสิ มันจะเอาไปเป็นคลังสำหรับอะไรบางอย่างได้เยอะ

ถึงอย่างนั้น ยังไงก็ตาม
จากการที่ผมรับข่าวมา ซึ่งถือว่าเยอะนะ เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนสำหรับผม
อะไรๆ ที่อ่านมาแล้วรู้สึกว่า เจ๋งดี แปลกดี หรือมีประโยชน์ ก็จะเอามา post ให้อ่านกัน
อยู่ใน หน้าแรกของ space ส่วนที่ชื่อว่า recommended 

พูดถึงปิดเทอมนี้ไม่ค่อยได้ทำอะไรเท่าไหร่ จะมาทำอะไรเอาก็อยู่ในช่วง ที่ขอเรียกว่า
7 วันแห่งกิจกรรม

วันที่ 1-3 ไปเป็นพี่เลี้ยงค่าย apple smart kid smart camp ก็ดี ไม่เคยได้เป็นพี่เลี้ยงก็ได้ลองเป็น แต่ไม่ค่อยชอบ อาจจะเพราะว่าไม่มีกิจกรรมแบบค่ายcubicทั่วไปเลยมั้ง มีแต่อยู่หน้าคอม แต่ได้เงินเยอะดี ปกติทำงานcubicเหมือนทำฟรี ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ดูเงินจะเป็นประเด็น

ระหว่างนั้นได้กิน burger king ติดกัน 2 วัน ซึ่งเป้นร้านที่ถือว่าหายากนะในประเทศเรา ก็เลยสั่งชุดแพงสุดเลย  tripple whopper …ก็ได้เบอร์เกอร์สำหรับคนปากใหญ่มากหนึ่งอัน โคตรbig สุดๆ จะกินทีนึงต้องสวมวิญญาณนักล่าถึงจะกินลง 555 แต่อร่อยนะ คิดว่าถ้าจะกิน burger king ให้เกิดความทรงจำที่ยากจะลืม ก็ควรสั่งอย่างว่า
 
วันที่ 4 ไปคุยรับทำเว็บ ยังไม่รู้ว่าไงเหมือนกัน

วันที่ 5-7 ไปเป็น พระเอกหนังสั้นให้รุ่นน้อง 555 เหมือนเท่เลย แต่ไม่มีนางเอก เซ็ง 
หนังเป็นเรื่องฮา(รึเปล่า) ประมาณว่าแอปเปิ้ลบวกกับแมคโนนัล ได้เครื่องMac …-_-” 
แถมนี้ไม่รู้ว่าน้องเค้าตัดต่อออกมาเสร็จจะเป็นยังไงเหมือนกัน แต่ก็บ้าดี เหนื่อยเป็นบ้า ให้ทำแล้วหลายเทคมาก แถมร้ายที่สุด ไอ้หลายๆเทคนั้น เราให้ไปทำที่ เค้าเรียกไร… ทางเดินลอยฟ้า? ตรง ชิดลม 
ตอนนั้นคนเยอะเป็นบ้า ให้เราทำท่าเดินโซเซอยู่บนนั้น แล้วก็สะดุ้งกระโดดชู 2 มือ ปากร้อง..”Mac!!” เสร็จแล้ววิ่ง ลง สวนกับบันไดเลื่อน ขึ้น ให้ตาย เถอะหน่า
แต่ก็ได้ประสบการณ์ดี เราก็ไม่อายเท่าที่คิดที่ไปแสดงกลางเมืองแบบนั้น ได้เป็นประสบการณ์ ถ้าหนังออกมาดีจะเอามาอวด

นอกจาก 7 วันนี้ไม่ได้ทำไรมาก เที่ยวกับเพื่อน กับอ่านหนังสือ
พูดถึงการอ่านหนังสือ นี้ อยากสนับสนุนให้คนอ่าน เพราะว่าอ่านแล้วจะทำให้มีประสบการณ์ต่างๆ กว้างๆ แม้จะไม่จริงเหมือนไปเจอ แต่ก็ยังดี เราเรียนเลขก็ไม่จำเป็นต้องคิดทฤษฎีบทได้เอง สำคัญคือ เรียนรู้แล้วเอาไปต่อยอด 

ประเด็นนึงจากจะพูดไปผ่านๆ ก็คือ มันต้องมีความสมดุลระหว่าง ปริมาณเวลาสำหรับรับสารกับปริมาณเวลาสำหรับวิเคราะห์สาร ช่วงหลังๆมานี้หลังจากรับ RSS รู้สึกสารที่รับมันoverload ก็ต้องปรับนิดหน่อย

หลังจากเปิดเทอมต้นมา ผมไม่ค่อยได้ อัพ อะไรเกี่ยวกับ แนวคิดทัศนะของตัวเอง(typing myself) จะอัพก็พวกประสบการณ์(eventful event)มากกว่า เพราะรู้สึก ช่วงนั่นหัวมันกลวงๆ
ตอนนี้พอรับสารมามากเข้าๆ เริ่มรู้สึก มันสุกงอมแล้ว

พอเปิดเทอม จะพยายามเขียน 
อยากให้อ่าน 55 ช่วยมาอ่านด้วยนะครับ

ปล. เรื่องมังกรต้อง อ้างอิงซะหน่อย ผมเอามาจากเว็บ http://www.grand-illusions.com เค้าเจ๋งนะเว็บนี้ ลองเข้าๆไปดู

จดหมายเหตุปิดเทอม ’49 [2]

หลังจากจบจากการ “เข้าค่าย” คอมพิวเตอร์วันที่ 26 วันที่ 27 ผมก็มา “จัดค่าย” Cubic-O ต่อทันทีเลย
ค่าย Cubic-O ก็เป็นค่ายที่ผม เอาคอมพิวเตอร์โอลิมปิกที่เรียนมา มาสอนให้กับน้องๆ อย่างที่อยากนั้นเอง

อันที่จริง กว่า Cubic-O จะเกิดขึ้นในวันที่ 27 ได้นั้น ต้องทำอะไรเยอะแยะเหมือนกัน 
ประชาสัมพันธ์ รับสมัคร เตรียมงานอำนวยการ เตรียมหลักสูตร ฯลฯ
ปัญหาเกิดขึ้น แล้วก็ผ่านไป จนค่ายเริ่ม….
ค่ายเปิดขึ้น แล้วก็ปิดไป 
และนี้คือความรู้สึกระหว่าง 2 วรรคข้างบน…

ในเชิงของตัวงานโดยรวม ผมรู้สึกพอใจกับ ค่าย Cubic-O Camp1st ค่ายโอลิมปิกไร้เทียมทานนะครับ ค่ายนี้ผมรู้สึกเหมือนเป็นค่ายที่ผมสร้างมากับมือจริงๆ (ค่ายอื่นๆ ในCubicทั้งหมด พี่นัทเป็นคนเริ่ม) ผมรู้สึกดีใจมาก ที่มันผ่านไปด้วยดี เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คืนวันอำลาผมร้องไห้ อื้ม… อย่างน้อย ชีวิตนี้เราก็ได้สร้างค่ายของตัวเองมาค่ายหนึ่งนะ

ในค่ายนี้ เราติวน้องอยู่ 3 วิชาคือ คอม ชีวะ ฟิสิกส์
วิชาชีวะเป็นวิชาที่ผมรู้สึก ทึ่งมาก ตอนแรกค่ายนี้ผมไม่ได้กะว่าจะให้มีสอนวิชานี้ แต่ใหม่(ซึ่งคิดว่าลากวาวมาทำด้วยที่หลัง)ได้คุยกับรตา แล้วบอกว่าอยากสอน ผมก็okแต่บอกว่าให้วางแผนการสอนมาคร่าวๆก่อน ปรากฏว่า ไปๆมาๆมันก็งานเดินช้ามาก… เอาเป็นว่าพอปิดเทอม วันที่ผมกะจะคุยเครียดๆแล้วว่า คงต้องรีบแล้วเมื่องั้น อาจจะต้องยุบวิชานี้ ก็ผมพบว่าใหม่กะวาวเตรียมสอนมาดีมาก ตำราเอย อุปกรณ์เอย นู้นนี้ๆ เจ๋งหว่ะ ดูจากหลักสูตรแล้วนี้ มันคงได้Labเยอะกว่าที่เราเรียนมาทั้ง ม.ปลาย อีกมั้งเนี่ย สุดยอด มันโคตร ทำให้ชีวะเป็นวิชาสวรรค์เลย ผมรู้สึกขอบคุณใหม่กับวาวมากๆ มากจริงๆ ที่มาช่วยขนาดนี้ เด็กๆชีวะรักใหม่กับวาวมาก เป็นวิชาที่ดูผูกพันกันดีจริงๆ วันคืนอำลาตอนจับมือ ผมร้องไห้ด้วยความ ซึ้ง ทึ่ง ขอบคุณ ประทับใจ ที่ใหม่กับวาวทำได้ดีแบบนี้ ก็ดูเค้าไม่ได้ซึ้งกับผมเลย 555 ฮา… ตัวเอง ตอนนั้นร้องไห้บอก ขอบคุณแกมากเลยนะ เราทึ่งมาก อย่างโน้นอย่างนี้ ใหม่ดูอึ้งๆ พยักหน้าหงึกๆ โถ…เรา…ทำไปได้

(ถึงใหม่กับวาว ขอโทษสำหรับทุกอย่าง ที่เราอาจจะทำไปแล้วทำให้แกเคือง(ซึ่งเราไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรบ้าง 555) ขอบคุณมากๆนะ แกไม่ได้อยู่ Cubic แต่ก็มาช่วยขนาดนี้ ขอบคุณจริงๆ)

วิชาฟิสิกส์ แม้ว่าผมจะรู้สึกว่า เป็นวิชาที่สอนวิชาการทฤษฎีทำโจทย์หนักไปนิด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึก ขอบคุณวิทยากรทุกคน โพบอกในคืนอำลาว่าตอนแรกไม่ได้อยากมาทำเลย ผมจำไม่ได้แล้วว่าลากโพมาทำด้วยยังไง เอ๊ะยังไง งง เอาเถอะ ผมรู้สึกขอบคุณโพมากๆ คือใครก็ตามที่ไม่ได้อยู่ใน Cubic team อยู่แล้ว ผมจะรู้สึกขอบคุณเป็นพิเศษ ป๊อยด้วยขอบคุณแกมาก ตลกดีที่ผมเริ่มเรียก ป๊อย ว่า ป๋อย แล้วพี่นัทเอาไปเผยแพร่จนทุกคนเรียกแบบนั้น เป็นความประสบความสำเร็จแบบนึง ดีจัง 555 แล้วก็รตาด้วย ขอบคุณโย้ว กานต์ด้วย น้องชัยวัด น้องถูมิด้วยอีก ใครอีก… อืม… เยอะแฮะ ก๊อต! ถึงจะหลับเยอะแต่ก็ขอบคุณ ตลกดี

วิชาคอมพิวเตอร์ พลับ น้อต แก้ว เซนต์ ถ้าไม่มีคนเหล่านี้ วิชาคอมต้องสลายร่างแน่นอนเลย ท้ายที่สุดแล้ว วิชาคอมก็กลายเป็นวิชาที่ดูเหมือนจะเตรียมการสอนได้น้อยที่สุดแล้ว (แต่เอาเข้าจริงๆผมก็คิดว่าต้องเป็นแบบนี้ เพราะว่าเรากะไม่ได้เท่าไหร่ว่าน้องจะรับได้เร็วแค่ไหน แต่รวมๆแล้วผมว่ามันก็ ok นะ) วิชาคอมที่เรียน 16 วัน อาจเรียกได้ว่าเป็นห้องในฝันของผม เพราะว่ามันมีอะไรทำดี ได้เขียนโปรแกรมจริงๆเลย มีเกมบ้าๆตอนกลางคืน มีสอนเลข มีพี่ที่ไหนก็ไม่รู้มาสอนๆๆๆ ยัดเท่าไหร่ก็ไม่หมด ไม่มีหมดเลย สะใจดี พูดถึงวิทยากร ครั้งนี้ผมซึ้งใจเซนต์เป็นพิเศษ เพราะว่าไม่เคยได้ทำงานด้วยกันเลย แล้วเซนต์ช่วยสอนได้ดีมากๆจนอยากกรี๊ด(ขนาดนั้น) เวลาผมสอนหน้าห้องแล้วจะมีคนไม่เข้าใจเสมอ แล้วเซนต์ก็ช่วยไปย้ำ แล้วดูเหมือนเขาจะไม่เคยเหนื่อยเลย พูดซ้ำไปซ้ำมา อธิบายระเอียดยิบ ผมรู้สึกเศร้าจริงๆตอนวันสุดท้ายของช่วงค่ายแรกที่เซนต์ต้องไป เซนต์ขอบคุณจริงๆนะ …สำหรับกับน้อตผมรู้สึกเป็นการทำงานที่มีความสุขที่สุด ขอบคุณน้อตมาก พลับ แก้วก็เช่นกัน สุดยอดมากที่สร้างตัวตรวจขึ้นมาได้ ขอบคุณโย่ว

พูดถึง staff อำนวยการ ผมรู้สึกสะดวกสบายขึ้นจริงๆ ทุกคนเหนื่อยกันมากๆ(แม้จะเล่นเกมเยอะเหมือนผม – ไม่ทุกคนนะ) ขอบคุณทุกคนมากครับ โดยเฉพาะป๊อป ขอบคุณแกมากๆ ที่อุตส่าห์มาช่วยทำ ตอนนี้ดูเหมือนแกจะได้เข้ามาช่วยงาน cubic เต็มไปหมดแล้ว ดีใจจังที่cubic มีแก

staff ทุกคน นั้นถึงแม้ว่า เราจะเล่นกันเยอะ โดยเฉพาะผมเองในช่วง 3 ที่เล่นเกมplayเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ถึงยังงั้น เวลาผมนึกถึงผมว่าผมเป็นคนนอกมองเข้ามา ก็ยังรู้สึกประทับใจมาก ที่พวกเรามาเหนื่อยกัน ขนาดนี้เพื่อน้องๆ เตรียมงานมากมาย (วิชาคอมโดยเฉพาะ 2 ช่วงแรก เรานั่งเตรียมการสอนทุ๊กวัน…จนดึกดื่นตี2 ตี3) และด้วยการรวมแรงของทุกๆฝ่ายมาประผสมประสานกัน มิตรภาพที่ทำให้ค่ายCubic-O ค่ายแรกของผมผ่านไปด้วยดี ความประทับใจนี้เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ผมร้องไห้ในคืนอำลา

และที่สำคัญค่ายนี้เป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมรู้สึกถึงสิ่งหนึ่ง เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากมาย ซึ่ง มีอยู่ ในค่ายทุกๆค่ายที่ชมรมเราเคยจัด แต่ผมไม่เคยได้มีโอกาสรู้สึกถึงมันเลย

จากค่ายอื่นๆที่ผ่านมา ผมไม่เคยได้เป็นพี่เลี้ยงสักครั้ง 
และเมื่อมาค่ายนี้ ผมก็ไม่ได้เป็นพี่เลี้ยง
แต่ผมก็ได้เป็น… “คนสอน”

ตลอด 16 วัน 13 คืน ผมได้มีโอาสสอนน้องๆวิชาคอมพิวเตอร์ ตื่นแต่เช้า(ซึ่งตื่นสายกว่าน้อง หลายครั้งอดข้าวเพราะเมื่องั้นเข้าสอนสาย) สอนตั้งแต่เช้า… 9 โมงครึ่ง ถึง 5 โมง(เย็น)ครึ่ง ตกกลางคืนก็อยู่สอนพิเศษบทเรียนเพิ่มเติม หลายๆครั้งมีเกมเล่น ผมได้อยู่เล่นเกม เกมที่บางครั้งวิ่งกันเหนื่อยโคตรๆ แต่สนุกมากๆ ผมได้เล่นเกมคิลเลอร์บ่อยมากๆ จนดึกดื่นน้องๆเข้านอน ก็นั่งคิดเกม คิดอะไรบ้าบอ สำหรับวันต่อไป

ใช่แล้ว สิ่งมีค่าที่ผมรู้สึก นั้นก็คือ 
…ความผูกพัน…

คือแบบนี้ครับ ความคิดของผมตอนแรกที่จัดค่ายเนี่ย คือผมมีความรู้สึกอยากถ่ายทอดตัวความรู้ที่มีอยู่ออกไปให้กับน้องๆ เพราะว่าจะได้เอาไปสอบแล้วก็โอกาสดีๆ แบบที่ผมได้มามากมาย โดยการถ่ายทอดนี้อยากให้เป็นการเรียนการสอนที่เน้นให้คิด ให้เข้าใจลึกซึ้ง แล้วก็เชื่อมโยงเรื่องต่างๆเข้าด้วยกันได้ แล้วก็ให้น้องๆเค้ามาสนิทกันเอง

ผมเริ่มต้นสอนด้วยแนวคิดที่ว่า ผมจะทำยังไงให้ถ่ายทอดความรู้ คอมพิวเตอร์โอลิมปิกอันนี้ ออกไปให้ดีที่สุด รู้เรื่องที่สุด ไม่เครียดจนเกินไป

แต่หลังจากที่สอนไป ได้รู้จักกันมากขึ้น ได้ยินเวลาน้องๆทำไม่ได้แล้วมีเสียงเรียกเรา ได้เล่นเกมสนุกโคตรๆ วิ่งเล่นอยู่บนตึก ได้ปล่อยมุกแป้กๆ
เวลาที่ผ่านไป ค่าย3ช่วงนั้น ผมรู้สึกได้ว่าสิ่งผมโฟกัสมันค่อยๆ เคลื่อนจาก “กระบวนการสอน” มาอยู่ที่ “ตัวน้องๆ” เอง เป็นแนวคิดที่ว่าผมจะทำยังไงให้น้องๆที่อยู่มาด้วยกันนี้ ได้อะไรดีๆกลับไปมากที่สุด มีความสุขมากที่สุด มีโอกาส มีอนาคตแทน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผมรู้สึกอบอุ่นและมีความสุข

นั้นทำให้ผมคิดและขอน้องๆ ในคืนอำลาไป ว่า ผมไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่า น้องๆจะต้องเอาความรู้โอลิมปิกที่ผมสอนไปสอบ หรือดำเนินแนวทางนี้ต่อ ไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรม หรือชอบคอมพิวเตอร์ แต่ผมขอให้ น้องๆหลังจากจบค่ายนี้ไปแล้ว… ได้ “ให้” กับคนอื่นต่อ อย่างที่ผมมีโอกาสให้น้องๆ เพราะช่วงชีวิตไม่กี่วันที่ผมได้ ให้ กับน้องๆ นี้ คือช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมากจริงๆครับ

ผมรักน้องๆคอมพิวเตอร์ที่ผมสอน และรู้สึกผูกพัน อยากให้ทุกคนเจอแต่อะไรดีๆต่อไป
และเมื่อมันจบลงแล้วสำหรับวันที่ผมจะได้มีโอกาสสอนน้องๆกลุ่มนี้
ผมร้องไห้ในคืนวันอำลา

ถึงน้องๆคอมพิวเตอร์(ถ้ามีซักคนเข้ามาอ่านก็ดี)…
เฮ้อ.. พี่ในสายตาทุกคน คงจะเป็นจอมโหด ที่จริงพี่ไม่เคยอยากเป็น ไม่มีใครอยากอยู่แล้วใช่ม้า พี่ๆทุกคนอยากเป็นที่พึ่ง ที่ใจดี ที่คุยได้ทุกอย่าง 
แต่คงด้วยเพราะหน้าที่ในstaffด้วยกันแล้วของพี่เองที่เป็นคนต้องคุมโดยรวมทุกอย่างให้ดำเนินไปด้วยดี ไม่ใช่คนรับงาน บวกกับที่ได้คุยกันใน staff เองหลังจากดูแล้วว่าเด็กวิชาคอมดูท่าแล้วจะคุมยากที่สุดใน 3 วิชา เลยคิดว่าควรจะมีคนๆ นึงที่รับบทโหดที่น้องทุกคนฟัง พี่จึงได้รับบทนี้มาเต็มตัว
ซึ่งรู้สึกว่าได้ผลเหมือนกัน แต่พี่เองก็พลาดไปในบางครั้ง

ในคืนอำลาพี่ลืมพูดไป ว่าพี่ขอโทษและรู้สึกผิดที่สั่งทำโทษ คัดลายมือ(หวัด)ว่า “ฉันจะไม่ออกสาย” 300 รอบ (แม้ตอนหลังจะลดเป็น 100 รอบ)  ทำให้เข้าใจความรู้สึกแทนอาจารย์ได้เลย พี่ว่าไม่มีใครเวลาสั่งทำโทษแล้วรู้สึกดีเลยซักคนแน่ แต่พอสั่งไปแล้วก็ต้องย้ำกับตัวเองว่า ที่เราสั่งไปเนี่ยก็เพื่อให้คุมอะไรๆให้อยุ่ได้นะ อย่าใจอ่อนยกเลิกไปซะหล่ะ แบบนี้แน่ๆ
ฉะนั้น ถ้าน้องคนไหนเคือง พี่ขอโทษนะครับ 

ตอนนี้ก็จบค่ายไปนานแล้วเหมือนกัน สิ่งที่พี่ได้สอนไป พี่รับรองเลยว่า พี่ๆทุกคนตั้งใจสอนมากๆ และเหนื่อยมากๆ จริงๆ เรื่องการเตรียมการสอนนั้น พี่ๆคอมพิวเตอร์อาจจะถือว่าเตรียมน้อยกว่าชีวะที่มีlabเต็มไปหมดเลย ที่จริงก็อยากเตรียมมากแต่ ก่อนหน้าค่ายนั้น พี่เองต้องเข้าค่ายสสวท. แบบเรียกได้ว่าจบค่ายโน้นปุ๊ปวันต่อมาก็มาสอนน้องทันที แล้วก็ก่อนหน้าเข้าค่ายสสวท. พี่เองก็วุ้นอยู่กับงานค่ายกลาง ที่ไม่จำเพาะหลักสูตรวิชา พลับ กับ แก้วเองก็มีภาระงานKUS Fun Camp เต็มตัว ฉะนั้น หลักสูตรคอมพิวเตอร์ พี่ๆเต็มที่กันแล้วจริงๆนะ หวังว่าทุกคนคงได้ประโยชน์บ้าง ใครเข้าค่ายแล้วรู้สึกชอบเขียนโปรแกรมก็เขียนต่อเลย ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร

ไม่รู้สิ พี่รู้สึกผูกพัน มันรู้สึกดีจริงๆนะ 555 แต่มันก็คงเทียบไม่ได้กับอาจารย์ตัวจริงหรอก พี่รักพวกแกหว่ะ ฉะนั้นมีไรก็คุยกันนะ

โซกลี

เรื่องของค่าย Cubic-O มันก็เป็นแบบนี้แหล่ะครับ
เป็นความทรงจำดีๆ ของการทำค่ายๆนึง

ปล. ช่วงเวลาระหว่างค่าย ผมได้มีโอกาสอ่าน หนังสือชุด ริง คำสาป มรณะ ซึ่งประกอบด้วย ริง สไปรัล ลูป เบิร์ธเดย์ ผมอยากแนะนำให้ทุกคนอื่นๆมากๆ เพราะ หนึ่งคือสนุกโคตร สองคือสยิวแสด(หมายถึงหลอนๆ) สามคือ อันนี้สำคัญ มันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากๆ ในทุกๆแง่เลย มันทำให้ผมรู้สึกมีมุมมองกว้างขึ้น และมีนิยามเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนไป และเข้าใจในประโยคที่ว่า I think, Therefore I am. ได้ชัดเจนมากขึ้น อ่านกันเถอะครับ

ปล.2 อย่าลืมติดตามตอนต่อไป

Cubic Creative’s Spirit

ย้อนเวลาไปถึงวันที่ 5 สิงหาคม ผมตื่นเต้นมากๆ กับการจะได้เข้าค่ายในฐานะของ “ชาวค่าย” ที่ Cubic Creative เป็นผู้จัดขึ้น เพราะเคยแต่มาช่วยกันคิดกิจกรรมขึ้นมา
ค่ายนี้ช่วยเปิดมุมมองของกิจกรรมของชมรมเรากับผมได้มากขึ้นมาก

มันสนุกมาก~ มันเหนื่อยมาก~ มันส์สุดยอด
ถึงจะสนุกแต่ก็ได้ประโยชน์ด้วย ไม่รู้สิ รู้สึกเหมือน skill creativity up level ขึ้นมาอีก 1 level
และที่สำคัญ มิตรภาพ

ผมรู้สึกรักชมรมนี้มากขึ้นเลยอะ 555 โดยเฉพาะเพื่อนๆ และน้องๆ สีเดียวกัน ทำให้ได้รู้จักพูดคุยกันมากขึ้น
อีกอย่างที่ประทับใจที่สุดก็คือ ตอนที่เล่นแรลลี่ของ ตะคริวกิน ลงไปกองอยู่บนพื้น ก็ยังมีกลุ่มปนัด วาว โอีต มาช่วยยกผมไป ทั้งๆที่มันคือจุดสุดท้ายที่จะถึงเส้นชัยแล้วแท้ๆ
วาวพูดว่า  “เรามันคนชมรมเดียวกันพี่”  โอ้… ซึ้ง… ขอบคุณจริงๆนะ

นอกจากเรื่อง ความสนุกที่ได้ มิตรภาพที่เกิดขึ้นในค่าย ความรักชมรมมากขึ้นแล้วและถ้าพูดถึงประโยชน์ ในเรื่องของการวิจัยกิจกรรม ค่ายนี้คือเป็นสิ่งที่ช่วยให้วิจัยได้ดีขึ้นมากๆๆๆ
ผู้คิดกิจกรรมได้เล่นกิจกรรมของตัวเอง อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่การทดลอง
มุมมองที่เกิดขึ้นนั้นกว้างขึ้นมาก และทำให้เห็นจุดเด่นจุดด้อยของกิจกรรม อะไรที่น่าจะตัดจะเสริม อะไรเหล่านี้จะทำให้กิจกรรมของชมรมเรานั้นถูกปรับเปลี่ยนได้อย่างตรงจุด และทำให้พัฒนาขึ้นไปๆ

ดีจัง… ค่าย Spirit Camp
ขอบคุณรุ่นพี่ๆครับ

ค่ายนี้จะต้องเป็นนิรันดร์ ไช…โย! ไช…โย! ไช…โย!

ปล. ท่าทาง staff คงเหนื่อยมากเลยอะมีกันอยู่นิดเดียว ไม่เป็นไร ค่ายครั้งหน้าก็จะมีรุ่นผมอีกมากมายมาช่วยแล้ว แต่เสียดายแทนstaffมากๆเลยครับที่ ไม่มีโอกาสได้เข้าค่ายนี้ 555

ชัยชนะของการนำเสนอ ค่ายสาธิตคิดสร้างสรรค์

“แล้วเราจะได้พบกันอีกครั้ง”
“อย่างแน่นอนค่ะ”
“ขอบคุณครัาบ/ค้า…”

สิ้นเสียงคำแนะนำจากกรรมการท่านสุดท้าย  ผมเดินออกมาจากจุดนำเสนออย่างมาดมั่น ความรู้สึกบอก อยากจะชูกำปั้นขึ้นไปพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง มันผ่านไปอย่างสมบูรณ์แบบ… เราชนะแล้ว
นี้…คือความรู้สึกที่ผมไม่มีวันลืมได้เลย

โครงการกรุงไทย ยุววาณิช เป็นโครงการประกวดโครงงานธุรกิจระดับมัธยมตอนปลาย ซึ่งชมรมวิชาการนักเรียนสาธิตเกษตรของเรา ส่งโครงการค่ายสาธิต คิดสร้างสรรค์ครั้งที่2 ไปประกวด

…วันนั้น… ผมดีใจมาก ตั้งแต่ได้รู้ว่า ด้วยฝีมือการเขียนรายงานของเหล่ารุ่นพี่ ทำให้ค่ายสาธิต คิดสร้างสรรค์ครั้งที่2 ผ่านเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายจาก 1305 ทีมทั่วประเทศ และ จะได้รางวัลมาแน่นอนอย่างน้อย 2 แสนบาทเลยทีเดียว

แต่ศึกครั้งต่อไปนี้ ใหญ่หลวงยิ่งนัก!
การนำเสนอโครงการค่าย ต่อหน้ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จะเป็นตัวตัดสินพวกเรา
และเราต้องการผู้เสนอ 3 คน

เนื้อหา และวิธีการนำเสนอ เริ่มต้นร่างขึ้นมา แล้วมองหาบุคคลที่เหมาะสม  และบางทีก็เล็งใครที่เข้าท่า แล้วจึงหาวิธีการนำเสนอที่เข้ากับเขาคนนั้น
ด้วยคุณลักษณะที่เหมาะสมของผู้นำเสนอ  แม้ผมรู้ตัวเองว่าอยากทำ เสียงในใจก็บอกกลับมาว่า งานใหญ่แบบนี้คงเสี่ยงเกินไปสำหรับผม

การคัดเลือกนั้น เริ่มต้นด้วยตัวเลือกที่มากมาย ค่อยๆคัดหาคนที่ผ่านเกณฑ์  บางคนไม่เหมาะตรงนั้น ไม่เหมาะตรงนี้  บางคนไม่สะดวกใจที่จะทำ… จึงต้องหาคนอื่นมาแทนที่ กลับไปกลับมา

ลงท้ายแล้ว  เมื่อวันที่พี่นัทโทรศัพท์มาถามว่า okไหมถ้าจะเป็นคนนำเสนอ
ความเสี่ยงที่ผมกังวลก็กลายเป็นประเด็นรองไปเสีย เรื่องไม่มีเวลาทำการบ้านยิ่งไม่ต้องนึกถึง ผมคิด หากเขาวางใจพอที่จะมาถามผมแบบนี้แล้ว โอกาสที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ ผมไม่มีทางทิ้งมันไป…

“ถ้าบอกมา ผมก็พร้อมจะทำอยู่แล้วครับ”

การซ้อมบทของเรา3คน – รตา พี่โม ผม  – เริ่มต้นตั้งแต่…

วันอาทิตย์ที่ 10 ตกเย็นก็ซ้อมต่อที่บ้านพี่ป่าน และผมค้างคืนที่นั้น ปรับบทใหม่เพื่อความกระชับจนถึงตี 2 แล้วไม่ไหวให้พี่ป่านทำต่อ

วันจันทร์ ปรับบทเสร็จสิ้น

วันอังคาร ผมโดดเรียนอาจารย์จิ อัดVDOนำเสนอ และซ้อมบทต่อไป กลับถึงบ้านตอน 4 ทุ่มครึ่ง 

วันพุธ ผม แก้ว โอ๊ต และน็อต ทำหัว Kupo! จนถึง 1ทุ่มโดยมีพี่ป่านคอยดูแล แล้วซ้อมบทกับรตาทางโทรศัพท์ประมาณ 1 ชม.ตอนดึก ในวันนี้บทของเราได้ถูกปรับเปลี่ยนไปอีกประมาณ 3 รอบ   

วันพฤหัส ผมโดด รด. เดินทางไปตึกธนาคารกรุงไทยที่สุดแห่งความอลังการ และซ้อมบทต่อไป ไสลด์ประกอบที่ทำด้วยFlashโดยพี่นัทนั้นทำเสร็จไปเกินครึ่งแล้ว ผมและรตาตัดสินใจค้างคืนต่อที่แมนชั่นเพื่อจะได้มีเวลาซ้อมบทกับพี่โมตอนกลางคืน วันนี้ผมได้ทานPizza Hut กับอาจารย์สุมาลีด้วย ตกกลางคืนเราพบว่าบทต้องมีการปรับอีกมากเลยทีเดียว ผมกับพี่โมวางแผนว่าเราจะใส่ส่วนที่ต้องเพิ่มเติมตรงไหนอย่างไร และเข้านอนตอนตี 1

วันศุกร์แล้ว… วันนี้เป็นวันจริงที่เราต้องนำเสนอ หากแต่บทนั้นยังไม่เสร็จ เมื่อเดินทางด้วยรถไฟฟ้าไปลงทะเบียน ทานอาหารเช้า แล้วไปช่วยจัดนิทรรศการจนถึง 9 โมงครึ่ง เวลาที่จะต้องนำเสนอคือตอนบ่ายโมงแล้ว เราต่างรู้สึกว่ามันไม่พร้อมเอาซะเลย บทยังไม่สมบูรณ์ ท่องยังไม่คล่อง อย่างไรก็ตามเรา3คนลงมือเขียนบทที่เพิ่มเติมและซ้อมโดยทันที

อาจารย์ดารณีมาฟังการนำเสนอที่ยังกระท่อนกระแท่นตอน 11โมงครึ่ง และให้คำแนะนำเพิ่มเติม เกี่ยวกับเนื้อหา มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย…

เหลือเวลาอีก ชั่วโมงครึ่ง… เราซ้อมกันต่ออีก ก่อนจะถึงเวลาจริง เพื่อให้มีความมั่นใจมากขึ้น โดยไม่สนว่าจะทำให้เหนื่อยก่อนถึงเวลาจริงหรือไม่ รตากับพี่โมเริ่มตื่นเต้นด้วยความที่รู้ตัวว่าไม่พร้อมอย่างที่มันควรจะเป็น  แต่…ผมไม่ได้คิดแบบนั้น

จบการซ้อมรอบที่ 3 …บ่ายโมงแล้ว
ทุกคนเดินเข้าไปที่ห้องสำหรับนำเสนอ
รตานั้นตื่นเต้นจนร้องไห้เลย พี่โมก็ตื่นเต้นมาก ทุกคนพยายามบอกให้ใจเย็นๆและไม่ตื่นเต้น แต่กลับผมไม่รู้สึกตื่นเต้นเลย ไม่รู้สิครับ ผมรู้สึกว่าเราทำได้ อย่างแน่นอน…

 และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

มันเป็นความสมบูรณ์แบบ เรียกได้ว่าไม่มีข้อบกพร่องใดๆจากการซ้อมครั้งไหนติดมาเลย เมื่อนำเสนอเสร็จ ผมยิ้มแป้นในใจ และเตรียมพร้อมรับการยิงคำถามจากคณะกรรมการ แต่ผิดคาด! สิ่งที่ได้จากกรรมการคือ คำแนะนำต่างๆที่จะต่อยอดขึ้นไป และคำบอกพร้อมจะเป็นผู้สนับสนุน กรรมการใหญ่ตบท้ายด้วยคำว่า “ทีมนี้ สุดยอด”

เมื่อเสร็จสิ้น และเข้าในห้องพัก แทบทุกคนร้องเย้ และกอดกัน ผมรู้สึกดีใจจริงๆ ดีใจจนล้นใจที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีอย่างมหัศจรรย์ บรรยากาศที่ทุกคนแสดงความยินดีต่อกันแบบจริงใจ และจริงจังแบบนี้ คงเป็นอะไรที่พบเจอได้ยาก ถ้าขาดความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ …ผมเองก็ซึ้งจริงๆนะครับ

เหนื่อยแล้ว… อาการปวดหัวที่จริงเริ่มขึ้นมาตั้งแต่ระหว่างนำเสนอ ผมรู้สึกหมดแรง คงเป็นเพราะพลังงานทั้งหมดถูกทุ่มลงไปในช่วงเวลา 30 นาทีสำคัญนั้น แต่ก็ยังคงเดินตามกลุ่มไปเลี้ยงฉลองล่วงหน้าการประกาศผล กว่าทุกคนเราจะมาลงเอยกันที่ Pizza Hut ก็ต้องเดินขึ้นลงตึกเพลินจิตพลาซ่าโดยที่ไม่ทำอะไร เดินตากฝนอยู่พักหนึ่ง ผมกินอิ่มแล้วก็ฟุบนอนไปพอตื่นขึ้นมาก็เดินอิ่มกลับโดยไม่ต้องเสียสตางค์

เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเวลาประกาศรางวัล แม้จะรู้สึกมั่นใจเต็มเปี่ยมหลังการนำเสนอ แต่ผมเองก็พยายามเผื่อใจเอาไว้อยู่ตลอดเวลาป้องกันอาการผิดหวังที่มันให้แต่ความเสียใจ
พิธีกรจะประกาศรางวัลชมเชย 8 รางวัล และค่อยประกาศรางวัลชนะเลิศ 2 รางวัล
“รางวัลชมเชย รางวัลที่ 1…” ผมจับมือกับพี่นัทและรตาที่นั่งอยู่ข้างๆกัน “ได้แก่……”
รู้สึกโล่งใจที่ไม่ใช่โรงเรียนสาธิตเกษตร

“รางวัลที่ 2… ที่3… ที่4… ที่5…” ทุกๆครั้งผมจะลุ้นสุดตัว แล้วก็โล่งใจสุดใจหลังประกาศว่ารางวัลชมเชยไม่ใช่ของเรา

“6… 7…” ถึงวินาทีสำคัญแล้ว ต่อไปเป็นรางวัลชมเชยรางวัลสุดท้าย ถ้าไม่ใช่ทีมเราก็แสดงว่าเราจะได้รางวัลชนะเลิศ!!
“รางวัลชมเชย รางวัลที่8 ได้แก่….”  นี้เป็นวินาทีที่ผมยังจำได้ชัดเจน ผมนึกภาพทุกภาพที่ทุ่มลงไปกับงานนี้

แล้วน้ำตา…ก็ซึมออกมา…

ผมรู้ตัวว่าผมเป็นแค่เปลือก
แม้ว่า การนำเสนอจะออกมาดีเท่าไหร่ การที่ได้รางวัลชนะเลิศนั้น คงผิดถนัดว่าถ้าคิดว่าทั้งหมดเป็นเพราะผู้นำเสนอ

การนำเสนอ เป็นเพียงปัจจัยสุดท้าย ของรางวัลชนะเลิศ
ทุกๆอย่างที่มาถึงตอนนี้ได้ เพราะแรงของทุกๆคน รุ่นพี่ เพื่อนๆ รุ่นน้อง
พี่นัท คือบุคคลสำคัญที่ทำให้เราเข้ารอบมาถึง ผมอยากจะคารวะ 20 จอก
แต่ถึงอย่างไร เป็นธรรมชาติเวลาใครที่ทุ่มเทกับสิ่งๆไหน ใจก็จะไปอยู่กับสิ่งนั้นด้วย
ผมก็เช่นกัน ใจของผมอยู่กับงานนี้อย่างเต็มหัวใจ

“ผู้ชนะเลิศธุรกิจด้านบริการ ได้แก่ ค่ายสาธิต คิดสร้างสรรค์ โรงเรียนสาธิตเกษตร”
ก็คงไม่มีอะไร แทนความดีใจนี้ได้ มันคือความสุข  ความสุขที่สุขล้น…

หลังจากนั้นก็คือบรรยากาศแห่งความยินดีปรีดา เราบอกต่อทุกๆคน ความสุขนั้นแพร่กระจายออกไป รตาคึกคักพูดไม่หยุด แต่ผมเหนื่อยเกินกว่าจะพูดตลอดเวลา ข้าวของทุกอย่างถูกเก็บ แล้วเราก็เดินทางกลับ ผมเดาว่าทุกคนคงเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้อีกนาน

หลังจากนี้ คนก็จะรู้จักชมรมวิชาการนักเรียนสาธิตเกษตรหรือ Cubic Creative มากขึ้น คนจะสนใจว่า นักเรียนกลุ่มนี้คือใครกันหนอ… มันเป็นสัจธรรม ถ้าคุณไม่ประสบความสำเร็จ ไม่หล่อ ไม่สวย ดูอัธยาศัยไม่ดี ก็ไม่มีใครสนใจจะรู้จักคุณ

ผมขอขอบคุณ อาจารย์ดารณี อาจารย์สุมาลี อาจารย์ประวิทย์ พี่นัท พี่ชยุตม์ พี่ปิง พี่ป่าน พี่โม พี่กิ๊ฟ และรุ่นพี่ทุกๆคน ขอบคุณ รตา แก้ว ปราณ โอ๊ต knot เตี้ย และเพื่อนๆทุกคน ขอบคุณรุ่นน้องทุกคน ขอบคุณโรงเรียน ขอบคุณพ่อแม่ที่เข้าใจ ขอบคุณทุกๆคำนี้ เมื่อผมเขียนถึงใคร ผมหยุดและนึกถึงเขาคนนั้น ผมขอขอบคุณจากใจจริงครับ ทุกคน

ความรู้สึกที่ดีจากทำงานแบบนี้…
“แล้วเราจะได้พบกันอีกครั้ง… ไหมนะ”

ปล. แปลกใจจริง ตอนเห็นแมงมุมตัวใหญ่วิ่งออกมาจากปราสาทโดมิโน พร้อมถุงไข่ข้างในซึ่งบรรจุลูกไว้เต็มพิกัดนับร้อย
ปล.2 ผมขอโทษทุกคนที่เสียดายหัว Kupo! ที่ทำกันมาใช้เวลาถึง 3 วัน แค่ผมคิดว่ามีโอกาสน้อยจะตายไปที่จะได้ทำอะไรให้โรงเรียนต่างจังหวัด เลยให้เขาไป ครั้งหน้าอย่าปล่อยให้ผมทำคนเดียวเลย ทำอีกไม่กี่วันก็ได้ อีกหัวแล้ว…
ปล.3 จากงานนี้ก็ทำให้รู้ว่า เมื่อผมขาดน้ำตาลจะทำให้สมรรถภาพในการคิด การตอบสนองต่ำลง สามารถแก้ได้โดยกินของหวาน เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ ครึ่งชม.ก็จะดีขึ้น

ICT FUN CAMP #2

“เพิ่งกลับมาจากค่าย ICT FUN CAMP #2”

กลับมาถึงบ้านแล้วก็เห็นหนังสือ THE DAVINCI CODE วางอยู่บนเตียง…..  พี่เรากลับมากจากอังกฤษแล้ว เย้! เดี๋ยวต้องถามไถ่ว่าเป็นไงบ้าง (ที่รู้เพราะว่าพี่เราเอาหนังสือเล่มนี้ไปอ่านที่อังกฤษด้วย)

เดินจากเตียงตรงมาที่คอม เล่นคอม คุยM และมาเขียนblogจนถึงบรรทัดนี้ ก็นึกย้อนไปถึงเวลา 7 วัน 6 คืนที่ผ่านมาของค่าย ก็รู้สึกว่า.. “ก็ดี” …คือมันไม่ถึงขั้นประทับใจฉันจนวันตาย

เราดีใจที่ได้เห็นบรรยากาศของค่าย ได้เรียนรู้วิธีการจัดกิจกรรม ได้จัดกิจกรรมยามเย็นเองด้วย(อันนี้ดีใจมาก) ได้รู้จักน้องๆม.4ที่เป็นพี่เลี้ยงเพิ่มขึ้นอีกนิด ได้แสดงละครstaffที่ครั้งนี้เด็ดมาก(ปราณแต่งเรื่องเก่งจัง) ได้ข้อมูลอะไรดีๆจากคืนสุดท้าย

อยากให้ประสบการณ์ที่ได้นี้ มีประโยชน์กับ KUS FUN CAMP #3 พอที่จะทำให้เราสามารถจัดค่ายให้ประสบความสำเร็จสูงสุด สาธุ~