เรื่อยๆ ช่วงปิดเทอม

ผมจะทำอย่างไรให้มีชีวิตที่สมดุล
บางครั้งผมรู้สึกว่า ที่กำลังทำอยู่นี่ มันเสียเวลา ไม่คุ้มค่าถ้าเอาความสามารถที่มีอยู่ไปทำอย่างอื่นอาจจะคุ้มกว่านี้
บางครั้งผมรู้สึกว่า สำคัญคือตอนนี้เรามีความสุขดีมากกว่านะ
บางครั้งผมคิดว่า เราอาจไม่จำเป็นต้องคิดมากกับชีวิตที่แสนสั้นนี้
ในทางตรงข้าม บางครั้งผมคิดว่า ที่ทำอยู่มันคุ้มแล้วกับการลับความสามารถ หรือบางครั้งรู้สึกมีความทุกข์ และบางครั้งก็คิดว่า เราต้องคิดมากกับชีวิตซะหน่อยนะ
เฮ้อ.. เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย
การจะหา ความสมดุล ให้ชีวิจนั้นมันยากเย็น แม้ถ้าอยากเท่ก็แค่บอกว่า สมดุลที่อยู่ใจเรา ก็จบ ฮา…

การได้เข้าค่าย JSTP เป็นประสบการณ์ที่ดี ได้พบคนหลายๆคนที่เป็นคนที่มีไอเดียด้านการทดลองวิทยาศาสตร์ ที่อยากจะทำ
การคัดคนเข้าโครงการนี้ คือการสัมภาษณ์เท่านั้นเอง ซึ่งก็เจ๋งดีนะ คือดูที่ความคิดเอา
แต่ก็อาจจะมีช่องโหว่ของการคัดเลือกก็คือ คนที่เข้ามาบางคน ก็คือคนที่เป็นแต่โม้แบบฉะฉาน โดยที่สมองไม่ได้บรรจุอะไรซักเท่าไหร่ (อาจคือผม)
กิจกรรมในค่ายนี้ เหมือนไปพักผ่อนหย่อนใจ มีอาหารอุดมสมบูรณ์ สบายใจอ้วน

นอกจากนี้ก็มี ขบวนค่าย Cubic ทั้งหลาย
สำหรับ Cubic-O 2nd นี้ แม้ซ้อนทับกับเวลาค่าย JSTP แต่ทุกอย่างก็ยังอำนวยให้ผมสามารถเข้าไปช่วยนิดช่วยหน่อยได้
ประทับใจนะ ค่ายนี้ สำหรับเด็กคอม และเด็กฟิ(ม.ต้น)ที่ผมได้ไปสอนฟิสิกส์นิดนิด และโม้มากมาก
สำหรับค่าย ICT Fun Camp 4th เป็นค่ายที่ผมมีความสุขมาก เพราะว่าได้ทำอะไรในสิ่งใหม่ๆ ทั้งอัจฉริยะข้ามวัน สอนเกร็ดIT ระบบแลกรางวัลRoute Card และกิจกรรมเข้ารหัสรัก.. ปักหัวใจ แค่นึกก็รู้สึกดีที่ได้สร้างสรรค์อะไรขึ้นมาแล้ะ
ตอนนี้ I want ทำ MV หรือหนังสั้นสุดๆเลย ใครมาอ่านแล้วอยากบ้าทำด้วยบอกเลยนะ I WANT!! ครับ

ปล. เลิกรับ a day แล้ะ เพราะคอลัมน์ที่ติดตามมีแค่ โลกจิต ของแทนไทเท่านั้นเอง สมัคร way แทนดีกว่า
ปล.2 การคิดถึงใครทุกๆ นาที มีอยู่จริงแฮะ

ปิดเทอมนี้ รู้สึกเหนื่อยจัง

ปิดเทอมนี้ อาจจะเป็นปิดเทอมที่คล้ายๆ ปีสองปีที่แล้ว เพียงแค่ไม่มีค่ายโอลิมปิก
แต่สำหรับผมแล้ว รู้สึกว่าเป็นปิดเทอมที่เหนื่อยที่สุดเลย
สงสัยจะเป็นเพราะมีสิ่งที่ต้องทำ ด้วยความฝืนใจอยู่บ้าง

ผมไม่แน่ใจว่า คนส่วนใหญ่แล้ว ฝืนใจทำอะไรบ้างไหม อาจจะเยอะบ้าง น้อยบ้าง
แต่ผมรู้สึก ชีวิตเรานี่ไม่ต้องฝืนใจทำอะไรเท่าไหร่เลย
ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ ว่านี่ มันเป็นเรื่องดีหรือเปล่ากันนะ
ช่วงนี้ พอต้องฝืนใจอะไรนิดหน่อย เลยรู้สึกมากหน่อย

<14-16 และ 19 มีนาคม>
สอนโปรแกรม iLife เด็กในโครงการเซ็นทรัลบัณฑิตน้อย
เด็กที่สอนเป็น เด็กน้อยจริงๆ ครับ ประมาณ ช่วง อนุบาล 3 ถึง ประถม 3 เท่านั้นเอง
และความรู้สึกที่ได้จากการสอนวันแรก คือ
อยากตายครับ!

ผมอยากจะออกไปเลย ไม่กลับเข้ามายุ่งในห้องเล็กๆ ที่อยู่กับเด็ก เจ็ดแปดคนนี้อีก
เพราะไม่คิดเลยว่า เด็กวัยนี้มันจะพูดไม่รู้เรื่องขนาดนี้ ควบคุมไม่ได้ และยังไม่ฉลาดขนาดนี้ 555

มีเด็กอ้วนเกเร ที่หัวรุนแรง ชอบทำร้ายเพื่อน และจำบทพูดละครไม่ได้ซักที (ยาวประมาณครึ่งประโยค) น้องคนนี้ใช้หมอนตบแว่นผมหลุดเลย เจ็บมาก
มีเด็กผอม ง๊องแง๊ง ร้อง อ้าาาาาาาๆๆๆๆ ไม่จบ ไม่รู้เป็นไร
เจอแบบนี้ผมก็เลยรู้สึกเซ็ง อยากกระซวกไส้เด็กขึ้นมาสุดๆ (โปรดนึกภาพการ์ตูนโรคจิตDARKสุดๆ ของ ทรงศีล ทิวสมบุญ)

กลายเป็นไม่ต้องสอนหน่ะครับ เหมือนมาเลี้ยงเด็กมากกว่า
ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

แต่ก็ ok นะครับ วันท้ายๆ ผมก็รู้สึก ok ดีแล้ว มันเป็นประสบการณ์ที่แปลก+ดี
เอาเข้าจริงๆ ที่ผมคิดว่าเด็กเล็กขนาดนี้ควบคุมไม่ได้นั้น มันก็ต้องมีวิธีล่อหลอกที่ดี
เช่น “เอ้าาาาา เดี๋ยวเรามาตั้งคำถามอะไรเอ่ยกันดีกว่านะ” แล้วทุกคนก็จะหยุดความโกลาหล กลับมาพร้อมหน้ากันเลย
มีเรื่องติ๊งต๊อง ในวันท้ายๆ ที่ไปสอน
เด็กอ้วนโง่เกเรคนนั้น เอาแขนไปแตะโน้ตบุ๊ตแล้วโดนไฟช็อค เลยร้องออกมา “อุ้ย! ไฟฟ้าสะเด็ด”
หรือตอนที่ถามคำถามอะไรเอ่ยกัน ก็มี เด็ก ป.5 ที่โตโดดอยู่คนเดียว ถามขึ้นมาว่า “แล้ว ล. อะไรกินเลือด”
เด็กๆก็ทายไปกัน ลอลิง ลอโน้นลอนี้ ผิดๆๆๆๆๆๆ ผิดหมดๆ จนทุกคนยอม แล้วนึกภาพเด็ก อ.3-ป.3 แต่ละคนจ้องไปรอฟังคำตอบตาแป๋วนะครับ
และคำเฉลยก็คือ
“ลอริเอะ… ก็ลอริเอะกินเลือดไง”
แล้วห้องก็เข้าสู่โหมดเงียบ….

…ความรู้สึกที่ มีน้องๆ มาเกาะขากอดแขน ตะโกน”พี่อิ๊กๆๆๆๆ” นี้มันก็อดรู้สึกดีไม่ได้นะครับ
สรุปว่าผมก็ผูกพันกับไอ้เด็กน้อยเวรๆ ที่วันแรกทำเอาประสาทไปแล้วเหมือนกัน

<23 มีนาคม>
หลังจากไป Commart เป็นครั้งแรก กลับมาแล้ว ก็ไปเกษตรสโมสร
เป็นวันที่ได้ลองอะไรหลายๆ อย่างดี เป็นประสบการณ์ชีวิตครับ
ต้องงี้แหล่ะ มันต้องรู้ให้ครบว่าอะไรเป็นยังไง
ขอบคุณพี่เจดมาก มา ณ ที่นี้ ที่ช่วยมาส่งให้ถึงบ้าน เมื่องั้นผมคงย่ำแย่ครับ

<24 – 30 มีนาคม>
my first KUS Fun Camp! (ที่หมองหม่น)
กิจกรรมที่น้องๆ คิดขึ้นมานั้น น่าสนุกดีหลายกิจกรรมเลย ผมชอบมากๆ
แต่ก็มีโอกาสลงไปดูไปช่วยน้อย โดยเฉพาะช่วงหลังๆ
โคตรเศร้าเลยครับ
แต่ก็มันจำเป็นหนิ่เน่อะ อยากไปดูจังเล้ย
ถึงวันนี้ยังโศกอยู่ลึกๆ

<31 มีนาคม – 7 เมษายน>
ค่าย innovator ที่ผมรู้สึกว่า ผมเหนื่อยแสนสาหัสกับงานนี้มาก (แต่ก็คงเหมือนๆ กับทุกๆ คนที่ทุ่มเทกันแหล่ะนะ อืม…)
ผมก็ดีใจที่อะไรมันออกมาได้ดี
ก็ไม่รู้ว่า ผมมีส่วนช่วยอะไรแค่ไหนเหมือนกันนะครับ
ค่ายนี้เป็นค่ายที่พิเศษหลายๆ ทำให้ผมได้รับรู้ความรู้สึก ของที่หลายๆ คนคงได้พบเจอมานานแล้ว ว่ามันเป็นเช่นไร

<8 เมษายน>
ไปดู เงิน เงิน เงิน the musical ของ AF มาแหล่ะครับ
ไปดูที่พารากอน(เจอจันทรีที่พารากอนด้วย ฟลุ๊คจัง!) ตอนเข้างานเค้าให้มี ทำบัตร smart purse ด้วยครับ ตลกดี ตอนแรกกะจะไม่ทำแล้ะ แต่เห็นว่าฟรี เลยทำ 555

ตอนเข้าไปในโรง ก็พบว่า สถานที่ไม่ดีอย่างที่คิดเลย เป็นพารากอนซะเปล่า กว้างอย่างเดียว แต่ที่นั่งนั้นเป็นเก้าอี้ เรียงๆกัน ธรรมดาเป็นที่สุด
แถมมี แถวที่พื้นที่มันไม่ต่างระดับกับแถวหน้า ซึ่งทำให้โดนบัง(เซ็งเป็ด)ได้ …และแถวนั้นคือแถวที่ผมนั่ง เฮ…
และก็ มีคนมานั่งบังเซ็งเป็ดจริงๆครับ

แต่เหมือนฟ้าดลใจ จู่ๆ คนที่บังผมก็หายไปไหนไม่ทราบ หลังbreak เลยดูครึ่งหลังได้สบายใจมีความสุข
โดยรวมแล้ว ละครเรื่องนี้สนุกมากๆ แต่ผมชอบมากกว่า ทวิภพซะอีก อาจจะด้วยเพลงมั้ง เพลงเพราะจริงๆ
มีความสุขครับ

และมันก็เหมือน ฟ้าประทานมาอีกแล้ว!
นั้นก็คือ จากการที่ผมทำไอ้ บัตร smart purse นั่นไป ทางเค้าได้มีการสุ่มผู้โชคดี 3 คน!
และ 3 คนนี้จะมีสิทธิ ได้ไป meet & greet กับ เหล่านักแสดง AF มากมาย ว้าวววว!
แต่ ฟ้าท่าจะมึน เพราะผมเป็นคนที่ แทบไม่รู้จักใครใน AF เลย -_-”
คือ รู้สึกโชคดีมากๆ แต่ก็รู้สึกว่า เป็นโชคดีที่ถ้าคนอื่นได้ เค้าคงจะดีใจคุ้มว่าเราเป็นไหนๆ

แต่สรุปมันก็แค่ เข้าไป ถ่ายรูปๆๆ ยังไม่ได้ปราศรัยอะไรกันเท่าไหร่ก็ ออกๆๆๆ
ก็ ok ได้ meet & greet ซักครั้งในชีวิต

<9 เมษายน – ปัจจุบัน>
ค่าย Cubic-O ที่ปีที่แล้วได้เริ่มต้นขึ้น ก็มีคนมาสานต่อแล้ว โดยน้องน้ำฝน รู้สึกดีใจจัง
แต่ผมก็รู้สึกเสียดายมาก พอได้รู้ว่ามีน้องๆ พหุภาษาหลายคนมากมายที่ไม่สามารถเข้าค่ายได้ เพราะว่า ค่ายนี้ไม่ค้างคืน
ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่าจะจบด้วยความรู้สึกอะไร เพราะมันอีกนาน ค่ายนี้กินเวลาไปถึง เกือบสิ้นเดือนเลย
รู้แต่ว่า สอนแบบชิวกว่าปีก่อนมาก ไม่ค่อยเตรียมตัวเท่าไหร่ 555 (อย่าให้น้องเข้ามาอ่านเลย)

อืม…
มองความรู้สึกตัวเองตอนนี้
มองสิ่งที่ทำมาตลอดปิดเทอมนี้
ผมรู้สึกว่า มันหนักเกินไป… คิดว่าถ้ามีโอกาสจะต้องพยายามควบคุมอะไรให้มันไม่เกินไปแบบนี้
ผมรู้สึก อยากจะหยุดทำอะไรทุกอย่างมากๆ ขอเถอะ แค่พักสักสองสามวัน มันอาจจะทำให้ความเหนื่อยสะสมมันหายไป
นี่ไม่ได้พักเลย…

อยากจะได้ไป เที่ยวกับเพื่อนๆ บ้าง
วันนี้เจอ ป๊อป แวะมาโรงเรียน บอกว่าเที่ยวมามากมาย ได้ประสบการณ์อะไรเยอะมาก ก็รู้สึกอยากไปจริงๆ
ชีวิตด้านการงานมันเริ่มเกินสมดุลแล้วหน่ะครับ นั่งอยู่ตอนนี้ก็เหมือนมีอะไร โหยหวนอยู่ในใจตลอด
แต่ผมก็เข้าใจดี ถึงสิ่งที่ผมทำขณะนี้ ว่ามันเป็นทางที่เหมาะสมแล้ว ที่ผมเลือก เมื่อคิดจาก อนาคตอันใกล้และอันไกล

ปล. ติดโครงการ JSTP แหล่ะ เดี๋ยววันที่ 23-28 เมษานี้ จะได้เข้าค่าย จะเป็นนักวิจัยแล้วเฟ้ยยย

ตัดผมเพื่อหล่อ1วัน บายเนียร์เพื่ออยู่กับคนสวยทั้งวัน

รู้สึกไม่ค่อยได้เขียนเป็นแนว ไดอารี่ ขึ้น blog เลย
อีกซักทีดีกว่า

วันนี้เป็นวัน bye’nior cpe59
(ที่จริงตามเวลาคือเมื่อวาน)
คำว่า nior ย่อมาจาก senior แน่ๆ
แต่ที่ทำให้ งง ก็คือ ทำไม งานอำลารุ่นพี่ของ sym ที่รตาเคยพูดว่า บายเนียร์ๆ  ถึงใช้คำว่าบายเนียร์
ม.ปลาย มันไม่มี senior นี่นา

วันนี้เราสาย
เพราะนัดกับฝนไว้ 10 โมง
ตื่นมา 9 โมง รู้สึกว่าทันเหลือเฟือเลย
เข้าไปอึและอ่าน a day ในห้องน้ำเพลิน ก็เลย นั่งนานไปหน่อย (พ่อท้องผูก…)
ออกมาอีกที เชดดด… 9 ครึ่ง (ไม่ได้อึนานขนาดนั้น แค่ว่า อึจบอารมณ์อ่านไม่จบ)
รีบทำทุกๆอย่าง อาบน้ำ แปรงฟัน อยากดูดีวันนี้เลยต้องโกนหนวดด้วย
แต่งตัว กินข้าว เตรียมของ มองอีกที เชดดดด 10 โมง
รู้สึกแย่หว่ะ 555 นัดสาวสวยแต่เลท
โทรไปบอกฝนว่า ยังไม่ต้องออกจากที่ทำงานพ่อ แต่ฝนออกมาแล้ว – –
ขึ้นรถเมล์รถก็ติดอีก เฮ้อ
มาถึง 10.40 แล้ว ยิงไปตาม แล้วรอๆๆๆ อยากไปเข้าห้องน้ำ แต่ก็ไม่อยากไปเพราะถ้าต้องให้ฝนมาถึงที่นัด แล้วยังมารอเราอีกครั้ง ยิ่งดูไม่ดี
รอๆๆๆ (มันก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก 555)
ไปเข้าห้องน้ำแปป รีบกลับ ฝนคงยังมาไม่ถึงหรอก สงสัยเดินเกษตรแฟร์เพลิน 
กลับมาอีกที เจอฝนนั่งรอ -_-”

วันนี้เรานัดกับฝน
นัดไปสวยไปหล่อกัน 555
ก็คือไปร้านตัดผมทำผมนั้นเอง
เราไปเพื่อหล่อ 1 วัน (วันนี้ผ่านไป ทุกอย่างก็จะกลับมาสภาพเดิม คนเคยเซ็ทผมคงเข้าใจ)
ส่วนฝนไปเพื่อสวยพิเศษ 1 วัน (ไอ้สวยปกตินี้ มันอยู่แล้ว)
ไปดูร้านของฝน ร้าน The Play
ฝนบอกว่า เจ้าของร้านอัธยาศัยดี ติสท์แตกมาก ประมาณว่า ตัดๆอยู่ จู่ๆเดินออกไปรับรู้อากาศของโลกภายนอก 15 นาทีแล้วค่อยมาตัดต่อ เออ เจ๋งดี อยากลอง
ไปถึง เค้าบอกว่า ให้รอ 3 คิว อีก 10 ชั่วโมง!
บ้ามาก..
แต่ล้อเล่น 555
เค้าบอกให้รออีก 10 คิว 3 ชั่วโมง
แต่ก็ไม่รอละกัน แม่งโคตรนานอยู่ดี ไปร้านที่เราเคยตัดดีกว่า ร้าน August
ก็okดีนะ
เสียอย่างเดียว เราเผลอจิ๊กบัตรคิวเค้ามาซะงั้น ลืมอ้ะ

วันนี้เรากับฝนเป็นพิธีกรในงานบายเนียร์ที่ว่า (ซึ่งเลยทำให้ต้องไปตัดผมนั้นเอง อยากดูดี 555)
ตัดเสร็จ ก็กลับมา เพื่อเขียนสคริปต์ในงาน
ระหว่างทางดีจัง ได้เดินเกษตรแฟร์กับสาวสวย เย้
กินข้าวเที่ยง ที่ชมรมยิงธนูของเชด แต่ว่ากับข้าวแพงเชดดดดดด
คิดบท เดินงาน เดินงาน คิดบท เล่นตุ่ย เล่นหมากรุก
ถึงเวลางานเริ่มซะที

ก็ดีนะ
งานไม่มีไรน่าสนใจ เป็นพิธีกร ก็พูดๆ
ระหว่างงาน พอว่างบท ก็ไปเดินงานเกษตร กับฝนกับป๊อป ไปดูลูกหมาน่ารักๆ เป็นรอบที่ 3หรือ4
เราชอบ หมาพันธ์ที่บอกว่าอยู่ที่หิมะ ที่เท่ๆ
มันมีตาสีฟ้าสวยงามมากเลยทีเดียว
ราคา หมื่นสอง

เปลี่ยนเรื่องๆ

ตลกดี ในงานพอมีบายศรีสู่ขวัญ ให้พี่ปี4 ผูกสายสิญจน์ให้น้องปี1
ก็ผูกๆกันไป ….อยากเข้าภาคไรคับ ตั้งใจนะ คบเพื่อนเยอะๆ ขอให้มีแฟนสวยๆ มาเข้าภาคเครื่องดีกว่าาา
พี่คนหนึ่งถามว่า น้องได้เกรดไร เราตอบไปว่าเกรด 4
พี่คนต่อมา ยื่นมือมา
“น้อง มาผูกข้อมือให้พี่ดีกว่า อวยพรด้วยนะ”
ฮา… ฮือฮา และก็ถ่ายรูปๆ ตลกดี

จบงาน ไปกินร้านสเต็กสัตวแพทย์ กับ เชด เนี้ยบ ป๊อป ปิ๊น เป๊ก  ป๊อย (เฮ้ย ทำไม ป.ปลา เยอะจังหวะ) (เย้ย จังวะ!)
อาร์ม และ โอม มารับสั่งออร์เดอ มาเสิร์ฟ และมากินเอง -_-‘
อร่อยดีนะ
โอมบอกมึงมีบัตรสมาชิกไหม ลด 5%
ถ้าไม่มีกูลดให้เอง 10%
เท่ มาก!!! พี่น้องผองไทย นับถือ รู้สึกว่ามาด เฟื่องๆของโอม ดูดีขึ้นมานับแต่นั้น 555

นึกถึงวันนี้ ดีเหมือนกัน ที่ผลแห่งความตั้งใจหล่อ 1 วันประสบความสำเร็จ
เจอใครๆ เชดดดดดดดดดดด…. หล่อนะเนี่ยๆ
เยสสสสสส 5555
ฝนก็บอกว่า หล่อ(ถ้าถอดแว่น)

กลับถึงบ้าน
พ่อบอก
ทำไมผมเป็นเงี้ยยยยยยย !!
-_-”

ที่จริงวันนี้ก็ไม่มีไรมาก แต่ก็ไม่เบื่อเท่าไหร่
ก็เหมือนตอนไปดูลูกหมา
มันน่ารัก ดูกี่รอบก็ไม่เบื่อ

วันนี้ก็ไม่เบื่อ
ก็อยู่กับคนน่ารัก แทบทั้งวัน 5555   วิ้วววววว…..

 ปล. มีหลายคนบอกว่า เราตอนตัดผม ดูคล้ายมีพีวีร์กิจโคตรๆ หนึ่งในนั้นคือ “พี่ป่าน”

เรื่องดีๆ ที่บ่นๆ

มีเรื่องดีๆได้เข้ามา ในชีวิตของเราในตอนนี้อยู่หลายเรื่อง

เราสอบ สสวท.รอบ2 ติด เลยทำให้ได้เข้าค่ายที่อยากเข้ามานาน แล้วก็ทำให้ได้ โควตาของจุฬา เอาไว้เผื่ออดเข้าเกษตรอีกด้วย อีกเรื่องเกี่ยวกับเรื่องการเรียนก็คือ โควตาโขน.. เรายังไม่แน่ใจในรายละเอียดแต่ว่ารู้สึกจะสามารถเข้าคณะอะไรก้ได้ในเกษตร

นี้เป็นเรื่องทีดีจังเลยนะ

และอีกเรื่องที่สำคัญก็คือ การแข่งขันแสดงคอนเสิร์ตของ Fat Radio ที่เป็นการแข่งขันที่พิเศษอยู่มากๆเลย เพราะว่า เป็นการประกวดทั้งฝ่าย วงดนตรี เครื่องแต่งกาย การออกแบบแสง และการออกแบบ Visual graphic (ก็คือทำ ภาพประกอบจอในคอนเสิร์ตนั้นเอง)

มันก็คงเริ่มมาจาก ที่ติ๊บชวนเราให้มาทำ graphic ให้…
แล้วอะไรๆก็ผ่านมา เขียน story board โดยแก้ว แล้วก็ ซินและกาน อีกรอบหนึ่ง แล้วก็แสดงละครหุ่นตอนนำเสนอครั้งแรกที่สนุกสนาน ตอนนั้นได้เป็นพิธีกรคู่กับจันด้วยแหล่ะ ก้อง แก้ว ช่วยกันทำละครหุ่นและอื่นๆสำหรับการนำเสนอครั้งนี้ โดยใช้เวลาแค่วันเดียว มันฉุกละหุกมากเหมือนกัน 555 มันดีแต่ก็เสียวๆ ยังไงก็ตาม บรรยากาศวันนั้นออกมาดีจริงๆ แล้วก็ได้เข้ารอบ 7 ทีมสุดท้ายาเป็นอันดับที่ 2

หลังจากนั้น งานอื่นๆขของชมรมที่มีอยู่มาก ก็ทำให้ไม่ได้ทำงานต่อเท่าไหร่
เหมือนที่ผ่านๆมา เรากลับมาเร่งทำตอนใกล้ถึงกำหนดอีกแล้ว… เฮ้อ แย่จังนะ

คงต้องขอสารภาพไว้ ณ ที่นี้เลย ว่างานของเราคือ เพลงตรงที่เดิม นั้น เราเริ่มทำตอนวันเสาร์ ก่อนคอนเสิร์ตจริงอาทิตย์หนึ่ง ตอนนั้นเรียกได้ว่า เราทุ่มเวลาทุกอย่างที่มีเท่าที่ทำได้กับงานนี้ เราไม่ทำการบ้านเลยนั้นเอง โดดเรียนเท่าที่ทำได้ ทุ่มทุกๆอย่าง ให้มันออกมาให้ดีที่สุด เพราะความรู้สึกผิดด้วย ไม่อยากให้งานออกมาไม่ดีเพราะเราเลย

ผ่านการหลับในหน้าคอมมาติดๆกัน
ผ่านการหลับเป็นตายในห้องเรียน
ผ่านการซ้อม mix ที่บ้านปูน ก่อนแข่ง 4 ชม.
การแข่งขันผ่านไป พร้อมกับความรู้สึกแบบ โล่งๆ  เราไม่รู้สึกหวังรางวัล เพราะรู้สึกว่า คนอื่นเค้าทำดีมากเหมือนกัน อย่าง “ฮาเทค” มันทำได้หลอนและดูมืออาชีพมากเลย

แต่เราชนะ!! 55555
รู้สึกดีใจมาก ที่งานที่ตั้งใจทำขนาดนี้ ได้รางวัลตอบแทน ดีใจที่งานเราคิดว่าสวย คนอื่นก็ชอบด้วย
ชื่นใจจริงๆ เลย

ขอบคุณ ติ๊บนะ ที่ชวนเรามาทำ ขอบคุณมากๆนะ
ขอบคุณ เตี้ย ขอบคุณแก้ว ที่ช่วงสัปดาห์ก่อนส่ง เราบ้าทำกันมา รู้สึกดีจังนะที่ออกมาแบบนี้
ขอบคุณก้อง จัน ที่ช่วยกันคิด ช่วยกันทำมา ตั้งแต่ก่อนออกแบบ story board แล้วก็ช่วยทำ flash แม้ว่าจะทำไม่เป็น ยังไงก็.. ขอโทษ แล้วก็ ขอบคุณนะ
ขอบคุณ zentralise ทุกคน ที่ทำให้เกิดงานนี้ อย่างสมบูรณ์

เป็นเรื่องดีๆที่ผ่านเข้ามา เรารู้สึกดี แต่ที่จริงแล้ว เรายังรู้สึกอยู่ว่า เราไม่ได้ทำให้มันดีพออย่างที่คิดหน่ะ
จริงอยู่ว่า เราทำอย่างเต็มที่เลย 1 สัปดาห์ แต่ที่จริงเราน่าจะแบ่งเวลาทำได้ตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์ ให้งานออกมาดีได้มากขึ้น ที่จริงถือว่าโชคดีมากที่ชนะงานครั้งนี้ ถ้าไม่ชนะคงรู้สึกเสียดายความห่วยของตัวเองไปอีกนาน

เรื่องอื่นๆก็เหมือนกัน รู้สึกเสมอว่า เราแบ่งเวลาได้ไม่ดีเลย อาจจะเรารับงานมากไป บวกกับเราจัดการงานที่มีอยู่ด้ไม่ดี เลยทำให้อะไรๆ มันไม่สมบูรณ์แบบ
จริงอยู่ว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แต่ ก็นะ  ที่จริงก็คืออ มันไม่ผ่านเกณฑ์ของเราด้วยซ้ำ

จะตั้งต้นใหม่….
จากแต่ก่อนที่ไขว้คว้าเอาโอกาสทั้งหมดที่ผ่านเข้ามาแล้วไม่ดูเวลา และไม่ดูว่าตัวเองไหวไหม ไม่วางแผน
ในทุกๆเรื่อง เอาหล่ะ งานทุกๆงานต่อไปนี้ที่ผ่านไปจะต้องเยี่ยมให้ได้ และต้องทำให้ได้ และถ้าทำได้…

เรื่องดีๆ ที่ดีมากกว่านี้ คงกำลังรออยู่นะ

ชัยชนะของการนำเสนอ ค่ายสาธิตคิดสร้างสรรค์

“แล้วเราจะได้พบกันอีกครั้ง”
“อย่างแน่นอนค่ะ”
“ขอบคุณครัาบ/ค้า…”

สิ้นเสียงคำแนะนำจากกรรมการท่านสุดท้าย  ผมเดินออกมาจากจุดนำเสนออย่างมาดมั่น ความรู้สึกบอก อยากจะชูกำปั้นขึ้นไปพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง มันผ่านไปอย่างสมบูรณ์แบบ… เราชนะแล้ว
นี้…คือความรู้สึกที่ผมไม่มีวันลืมได้เลย

โครงการกรุงไทย ยุววาณิช เป็นโครงการประกวดโครงงานธุรกิจระดับมัธยมตอนปลาย ซึ่งชมรมวิชาการนักเรียนสาธิตเกษตรของเรา ส่งโครงการค่ายสาธิต คิดสร้างสรรค์ครั้งที่2 ไปประกวด

…วันนั้น… ผมดีใจมาก ตั้งแต่ได้รู้ว่า ด้วยฝีมือการเขียนรายงานของเหล่ารุ่นพี่ ทำให้ค่ายสาธิต คิดสร้างสรรค์ครั้งที่2 ผ่านเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายจาก 1305 ทีมทั่วประเทศ และ จะได้รางวัลมาแน่นอนอย่างน้อย 2 แสนบาทเลยทีเดียว

แต่ศึกครั้งต่อไปนี้ ใหญ่หลวงยิ่งนัก!
การนำเสนอโครงการค่าย ต่อหน้ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จะเป็นตัวตัดสินพวกเรา
และเราต้องการผู้เสนอ 3 คน

เนื้อหา และวิธีการนำเสนอ เริ่มต้นร่างขึ้นมา แล้วมองหาบุคคลที่เหมาะสม  และบางทีก็เล็งใครที่เข้าท่า แล้วจึงหาวิธีการนำเสนอที่เข้ากับเขาคนนั้น
ด้วยคุณลักษณะที่เหมาะสมของผู้นำเสนอ  แม้ผมรู้ตัวเองว่าอยากทำ เสียงในใจก็บอกกลับมาว่า งานใหญ่แบบนี้คงเสี่ยงเกินไปสำหรับผม

การคัดเลือกนั้น เริ่มต้นด้วยตัวเลือกที่มากมาย ค่อยๆคัดหาคนที่ผ่านเกณฑ์  บางคนไม่เหมาะตรงนั้น ไม่เหมาะตรงนี้  บางคนไม่สะดวกใจที่จะทำ… จึงต้องหาคนอื่นมาแทนที่ กลับไปกลับมา

ลงท้ายแล้ว  เมื่อวันที่พี่นัทโทรศัพท์มาถามว่า okไหมถ้าจะเป็นคนนำเสนอ
ความเสี่ยงที่ผมกังวลก็กลายเป็นประเด็นรองไปเสีย เรื่องไม่มีเวลาทำการบ้านยิ่งไม่ต้องนึกถึง ผมคิด หากเขาวางใจพอที่จะมาถามผมแบบนี้แล้ว โอกาสที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ ผมไม่มีทางทิ้งมันไป…

“ถ้าบอกมา ผมก็พร้อมจะทำอยู่แล้วครับ”

การซ้อมบทของเรา3คน – รตา พี่โม ผม  – เริ่มต้นตั้งแต่…

วันอาทิตย์ที่ 10 ตกเย็นก็ซ้อมต่อที่บ้านพี่ป่าน และผมค้างคืนที่นั้น ปรับบทใหม่เพื่อความกระชับจนถึงตี 2 แล้วไม่ไหวให้พี่ป่านทำต่อ

วันจันทร์ ปรับบทเสร็จสิ้น

วันอังคาร ผมโดดเรียนอาจารย์จิ อัดVDOนำเสนอ และซ้อมบทต่อไป กลับถึงบ้านตอน 4 ทุ่มครึ่ง 

วันพุธ ผม แก้ว โอ๊ต และน็อต ทำหัว Kupo! จนถึง 1ทุ่มโดยมีพี่ป่านคอยดูแล แล้วซ้อมบทกับรตาทางโทรศัพท์ประมาณ 1 ชม.ตอนดึก ในวันนี้บทของเราได้ถูกปรับเปลี่ยนไปอีกประมาณ 3 รอบ   

วันพฤหัส ผมโดด รด. เดินทางไปตึกธนาคารกรุงไทยที่สุดแห่งความอลังการ และซ้อมบทต่อไป ไสลด์ประกอบที่ทำด้วยFlashโดยพี่นัทนั้นทำเสร็จไปเกินครึ่งแล้ว ผมและรตาตัดสินใจค้างคืนต่อที่แมนชั่นเพื่อจะได้มีเวลาซ้อมบทกับพี่โมตอนกลางคืน วันนี้ผมได้ทานPizza Hut กับอาจารย์สุมาลีด้วย ตกกลางคืนเราพบว่าบทต้องมีการปรับอีกมากเลยทีเดียว ผมกับพี่โมวางแผนว่าเราจะใส่ส่วนที่ต้องเพิ่มเติมตรงไหนอย่างไร และเข้านอนตอนตี 1

วันศุกร์แล้ว… วันนี้เป็นวันจริงที่เราต้องนำเสนอ หากแต่บทนั้นยังไม่เสร็จ เมื่อเดินทางด้วยรถไฟฟ้าไปลงทะเบียน ทานอาหารเช้า แล้วไปช่วยจัดนิทรรศการจนถึง 9 โมงครึ่ง เวลาที่จะต้องนำเสนอคือตอนบ่ายโมงแล้ว เราต่างรู้สึกว่ามันไม่พร้อมเอาซะเลย บทยังไม่สมบูรณ์ ท่องยังไม่คล่อง อย่างไรก็ตามเรา3คนลงมือเขียนบทที่เพิ่มเติมและซ้อมโดยทันที

อาจารย์ดารณีมาฟังการนำเสนอที่ยังกระท่อนกระแท่นตอน 11โมงครึ่ง และให้คำแนะนำเพิ่มเติม เกี่ยวกับเนื้อหา มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย…

เหลือเวลาอีก ชั่วโมงครึ่ง… เราซ้อมกันต่ออีก ก่อนจะถึงเวลาจริง เพื่อให้มีความมั่นใจมากขึ้น โดยไม่สนว่าจะทำให้เหนื่อยก่อนถึงเวลาจริงหรือไม่ รตากับพี่โมเริ่มตื่นเต้นด้วยความที่รู้ตัวว่าไม่พร้อมอย่างที่มันควรจะเป็น  แต่…ผมไม่ได้คิดแบบนั้น

จบการซ้อมรอบที่ 3 …บ่ายโมงแล้ว
ทุกคนเดินเข้าไปที่ห้องสำหรับนำเสนอ
รตานั้นตื่นเต้นจนร้องไห้เลย พี่โมก็ตื่นเต้นมาก ทุกคนพยายามบอกให้ใจเย็นๆและไม่ตื่นเต้น แต่กลับผมไม่รู้สึกตื่นเต้นเลย ไม่รู้สิครับ ผมรู้สึกว่าเราทำได้ อย่างแน่นอน…

 และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

มันเป็นความสมบูรณ์แบบ เรียกได้ว่าไม่มีข้อบกพร่องใดๆจากการซ้อมครั้งไหนติดมาเลย เมื่อนำเสนอเสร็จ ผมยิ้มแป้นในใจ และเตรียมพร้อมรับการยิงคำถามจากคณะกรรมการ แต่ผิดคาด! สิ่งที่ได้จากกรรมการคือ คำแนะนำต่างๆที่จะต่อยอดขึ้นไป และคำบอกพร้อมจะเป็นผู้สนับสนุน กรรมการใหญ่ตบท้ายด้วยคำว่า “ทีมนี้ สุดยอด”

เมื่อเสร็จสิ้น และเข้าในห้องพัก แทบทุกคนร้องเย้ และกอดกัน ผมรู้สึกดีใจจริงๆ ดีใจจนล้นใจที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีอย่างมหัศจรรย์ บรรยากาศที่ทุกคนแสดงความยินดีต่อกันแบบจริงใจ และจริงจังแบบนี้ คงเป็นอะไรที่พบเจอได้ยาก ถ้าขาดความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ …ผมเองก็ซึ้งจริงๆนะครับ

เหนื่อยแล้ว… อาการปวดหัวที่จริงเริ่มขึ้นมาตั้งแต่ระหว่างนำเสนอ ผมรู้สึกหมดแรง คงเป็นเพราะพลังงานทั้งหมดถูกทุ่มลงไปในช่วงเวลา 30 นาทีสำคัญนั้น แต่ก็ยังคงเดินตามกลุ่มไปเลี้ยงฉลองล่วงหน้าการประกาศผล กว่าทุกคนเราจะมาลงเอยกันที่ Pizza Hut ก็ต้องเดินขึ้นลงตึกเพลินจิตพลาซ่าโดยที่ไม่ทำอะไร เดินตากฝนอยู่พักหนึ่ง ผมกินอิ่มแล้วก็ฟุบนอนไปพอตื่นขึ้นมาก็เดินอิ่มกลับโดยไม่ต้องเสียสตางค์

เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเวลาประกาศรางวัล แม้จะรู้สึกมั่นใจเต็มเปี่ยมหลังการนำเสนอ แต่ผมเองก็พยายามเผื่อใจเอาไว้อยู่ตลอดเวลาป้องกันอาการผิดหวังที่มันให้แต่ความเสียใจ
พิธีกรจะประกาศรางวัลชมเชย 8 รางวัล และค่อยประกาศรางวัลชนะเลิศ 2 รางวัล
“รางวัลชมเชย รางวัลที่ 1…” ผมจับมือกับพี่นัทและรตาที่นั่งอยู่ข้างๆกัน “ได้แก่……”
รู้สึกโล่งใจที่ไม่ใช่โรงเรียนสาธิตเกษตร

“รางวัลที่ 2… ที่3… ที่4… ที่5…” ทุกๆครั้งผมจะลุ้นสุดตัว แล้วก็โล่งใจสุดใจหลังประกาศว่ารางวัลชมเชยไม่ใช่ของเรา

“6… 7…” ถึงวินาทีสำคัญแล้ว ต่อไปเป็นรางวัลชมเชยรางวัลสุดท้าย ถ้าไม่ใช่ทีมเราก็แสดงว่าเราจะได้รางวัลชนะเลิศ!!
“รางวัลชมเชย รางวัลที่8 ได้แก่….”  นี้เป็นวินาทีที่ผมยังจำได้ชัดเจน ผมนึกภาพทุกภาพที่ทุ่มลงไปกับงานนี้

แล้วน้ำตา…ก็ซึมออกมา…

ผมรู้ตัวว่าผมเป็นแค่เปลือก
แม้ว่า การนำเสนอจะออกมาดีเท่าไหร่ การที่ได้รางวัลชนะเลิศนั้น คงผิดถนัดว่าถ้าคิดว่าทั้งหมดเป็นเพราะผู้นำเสนอ

การนำเสนอ เป็นเพียงปัจจัยสุดท้าย ของรางวัลชนะเลิศ
ทุกๆอย่างที่มาถึงตอนนี้ได้ เพราะแรงของทุกๆคน รุ่นพี่ เพื่อนๆ รุ่นน้อง
พี่นัท คือบุคคลสำคัญที่ทำให้เราเข้ารอบมาถึง ผมอยากจะคารวะ 20 จอก
แต่ถึงอย่างไร เป็นธรรมชาติเวลาใครที่ทุ่มเทกับสิ่งๆไหน ใจก็จะไปอยู่กับสิ่งนั้นด้วย
ผมก็เช่นกัน ใจของผมอยู่กับงานนี้อย่างเต็มหัวใจ

“ผู้ชนะเลิศธุรกิจด้านบริการ ได้แก่ ค่ายสาธิต คิดสร้างสรรค์ โรงเรียนสาธิตเกษตร”
ก็คงไม่มีอะไร แทนความดีใจนี้ได้ มันคือความสุข  ความสุขที่สุขล้น…

หลังจากนั้นก็คือบรรยากาศแห่งความยินดีปรีดา เราบอกต่อทุกๆคน ความสุขนั้นแพร่กระจายออกไป รตาคึกคักพูดไม่หยุด แต่ผมเหนื่อยเกินกว่าจะพูดตลอดเวลา ข้าวของทุกอย่างถูกเก็บ แล้วเราก็เดินทางกลับ ผมเดาว่าทุกคนคงเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้อีกนาน

หลังจากนี้ คนก็จะรู้จักชมรมวิชาการนักเรียนสาธิตเกษตรหรือ Cubic Creative มากขึ้น คนจะสนใจว่า นักเรียนกลุ่มนี้คือใครกันหนอ… มันเป็นสัจธรรม ถ้าคุณไม่ประสบความสำเร็จ ไม่หล่อ ไม่สวย ดูอัธยาศัยไม่ดี ก็ไม่มีใครสนใจจะรู้จักคุณ

ผมขอขอบคุณ อาจารย์ดารณี อาจารย์สุมาลี อาจารย์ประวิทย์ พี่นัท พี่ชยุตม์ พี่ปิง พี่ป่าน พี่โม พี่กิ๊ฟ และรุ่นพี่ทุกๆคน ขอบคุณ รตา แก้ว ปราณ โอ๊ต knot เตี้ย และเพื่อนๆทุกคน ขอบคุณรุ่นน้องทุกคน ขอบคุณโรงเรียน ขอบคุณพ่อแม่ที่เข้าใจ ขอบคุณทุกๆคำนี้ เมื่อผมเขียนถึงใคร ผมหยุดและนึกถึงเขาคนนั้น ผมขอขอบคุณจากใจจริงครับ ทุกคน

ความรู้สึกที่ดีจากทำงานแบบนี้…
“แล้วเราจะได้พบกันอีกครั้ง… ไหมนะ”

ปล. แปลกใจจริง ตอนเห็นแมงมุมตัวใหญ่วิ่งออกมาจากปราสาทโดมิโน พร้อมถุงไข่ข้างในซึ่งบรรจุลูกไว้เต็มพิกัดนับร้อย
ปล.2 ผมขอโทษทุกคนที่เสียดายหัว Kupo! ที่ทำกันมาใช้เวลาถึง 3 วัน แค่ผมคิดว่ามีโอกาสน้อยจะตายไปที่จะได้ทำอะไรให้โรงเรียนต่างจังหวัด เลยให้เขาไป ครั้งหน้าอย่าปล่อยให้ผมทำคนเดียวเลย ทำอีกไม่กี่วันก็ได้ อีกหัวแล้ว…
ปล.3 จากงานนี้ก็ทำให้รู้ว่า เมื่อผมขาดน้ำตาลจะทำให้สมรรถภาพในการคิด การตอบสนองต่ำลง สามารถแก้ได้โดยกินของหวาน เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ ครึ่งชม.ก็จะดีขึ้น

กีฬาสี ปี48

วันนี้ได้ดู รุ่นน้อง ม.5 ทำกีฬาสีแล้วก็สุดจะประทับใจจริงๆ
เรียกได้ว่าดูแล้วขนลุกซู่ 555
สุดยอด!!!!!!… โดยเฉพาะสีฟ้าและสีเหลือง

ลองมาคิดดูเปรียบเทียบกับ พาเหรดของสีชมพูที่ได้ที่ 1 ปีที่แล้ว(ซึ่งเราก็ได้ร่วมทำด้วย แหะๆ) ก็ไม่แน่ใจว่าใครเจ๋งกว่ากัน
แต่ก็นะ ทั้งสถานที่ ทั้งระบบเสียง ทั้งระยะเวลาเตรียมงาน ทั้งเป้าหมายในการทำ ปีนึงเป็นปีทำพาเหรด อีกปีทำการแสดง..
ก็คงจะไม่สามารถมาเปรียบเทียบกันได้นะ
แต่เราก็ขอย้ำว่าประทับใจจริงๆ ทั้งสีฟ้า สีเหลือง และสีชมพู(ปีที่แล้ว)

แต่พอเห็นรุ่นน้องทุ่มเทขนาดนี้แล้ว ก็รู้สึกโหวงๆขึ้นมาเหมือนกัน
เรียกได้ว่า เราคงถือว่าทำงานได้เพียงเสี้ยวเลยหล่ะ ของกีฬาสี
เสียดายโอกาสที่เสียไปจริงๆ…

พูดถึงช่วงนี้นั้น เป็นสัปดาห์ก่อนสอบ ซึ่งปกติเราจะเคลียร์งานค้างที่กองอยู่เต็มไปหมดได้หมด
แต่ว่า ปีนี้มันพิเศษตรงที่ วันศุกร์นี้จะมีการนำเสนอประกวดโครงการยุววานิช ที่โครงการค่ายของชมรมผ่านเข้ามาถึง 1 ใน 10 ของประเทศ (ไปชิงรางวัล 4 แสนบาท หุหุหุ แต่ตอนนี้ก็ได้อย่างต่ำไป 2 แสนแล้ว ก๊ากๆๆ)
และเรา เป็นผู้นำเสนอเสียด้วยสิเนี่ย!!! จึงแทบจะไม่มีเวลาที่จะ ทำงานอะไรเลย
เอาเถอะ เราจะสู้ๆ เย้ๆ

ใครที่ได้มาอ่านอยู่ ช่วยให้กำลังใจให้ไม่ติด ร ได้ด้วยการ comment  5555  หรือจะอวยพรให้ชนะการนำเสนอก็จะดีใจมาก

วันนี้กลับถึงบ้านตอน 2 ทุ่มครึ่ง (เมื่อวาน 4 ทุ่มเกือบครึ่ง) เพราะว่าทำหัว Kupo! (mascot ค่าย KUS Fun Camp) เหนื่อยจัง กลับบ้านทีไร หลับไม่ได้ทำการบ้านทุกที

ปล. น้อตเพิ่งรู้ว่าคำว่า “ฝาชี” นั้นก็คืออุปกรณ์ที่ไว้ครอบอาหารเวลาไม่มีคนกิน ในวันนี้นี่เอง

ไอ้บ้า…

คงเป็นคำถามในใจของหลายๆคนว่า ทำไมเราต้องทำกิจกรรมมากมายบ้าบอขนาดนี้
มีคำตอบของทุกๆคำถาม

เรารู้อะไรๆต่างกัน
เราตระหนักในสิ่งที่เรารู้ต่างกัน
สุดท้าย เราเลือกที่จะทำ ในสิ่งที่ตระหนักได้ต่างกัน

เมื่อเลือกแล้ว ก็ไม่มีใครถูกใครผิดอีกต่อไป
และนี้ คงเป็นคำตอบของทุกๆคน ที่เลือก ที่จะเดินตามความคิดของตัวเอง

ติวคอมรุ่นน้อง ภาค2

วันนี้เหนื่อยจังเลย…

วันนี้เป็นวันประชุมวันแรกของ กรรมการหน้าเสาธง ระหว่างที่ประชุมผมรู้สึกว่าสบายๆกว่าที่คิด ดูไปแล้วงานก็ไม่ค่อยหนักเท่าไหร่นะ ไม่รู้ว่าต่อๆไปจะหนักหนากว่าครั้งนี้ขนาดไหนอยากรู้จริง สำหรับงานที่ได้รับมอบหมายครั้งนี้ แต่น..แต้น.. ก็คือเดินไปรับเด็ก ม.1 เข้าแถว ดีจัง ฟังดูสบายดี

เวลาการประชุมล่าช้าเกินคาดจริงๆ กว่าจะเลิกก็ตอนบ่ายโมงเสียแล้ว ทำให้พอประชุมเสร็จไม่มีเวลาไปกินอาหาร เพราะได้เวลาติวคอมน้องๆที่น่ารัก(รึเปล่า?)แล้ว

พอเริ่มสอน จากหิวๆสอนๆไปมันกลับหายหิวไปเอง ดีจัง แต่ถึงอย่างไร เวลาล่วงมาถึงเกือบบ่าย 3 ก็ทนไม่ไหวต้องไปกินข้าวที่เตี้ยอุตส่าห์ใจดีซื้อมาฝากให้ถึงห้องที่สอน แล้วเตี้ยก็ไปสอนต่อจนเลิกเรียน…

ตกเย็น เดินทางไปบ้านอาจารย์จิ นั่งเรียนในบ้านอาจารย์จิ และ สัปหงกในบ้านอาจารย์จิ -_-”

เลิกเรียนก็กลับมาพักเหนื่อยที่บ้าน มานั่งเขียน blog นี้

“คุณผู้อ่านครับ คุณคยสังเกตเห็นปฏิกิริยาโต้ตอบแบบแปลกๆของร่างกายคุณบ้างไหม”

สำหรับผมมีก็จะมีปฏิกิริยาแบบธรรมดาๆอยู่เช่น เวลาเครียดก็จะปวดหัว หรือวันไหนที่ใช้ความคิดมากจะกินข้าวได้น้อย แต่มีแบบแปลกๆอยู่อย่างที่ไม่เข้าใจสาเหตุ ใครเป็นเหมือนกันช่วยบอกที นั้นคือ…เมื่อเวลาออกไปกลางแดดหรือมองดวงอาทิตย์แล้วจะจาม! แปลกไหม ว้าว! มันน่าตกใจมากเลย 555 เอาเป็นว่าใครก็ตามช่วยบอกผมทีว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

เอ๊ะ…จู่ๆความคิดมันไปถึงเรื่องนั้นได้อย่างไร ผมขอกลับมาเรื่องติวคอมเด็ก เพื่อจะได้ตรงกับหัวข้อเสียหน่อย… ก็สรุปว่าความตั้งใจที่จะติวทุกอย่างให้เสร็จสิ้นภายในปิดเทอมก็ล้มเหลว เด็กที่มาติวนั้นว่างไม่ตรงกัน ทางพวกเราก็อยากที่จะเห็นน้องทุกคนได้ติวครบทุกเรื่อง จึงต้องหาวันที่ทุกคนว่าง ผลออกมาก็คือวันที่ได้ติวลดไปเหลือน้อยกว่าครึ่งของวันที่ติวได้

แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเปิดเทอมไปก็ยังติวได้อยู่ แม้ว่าจะสะดวกน้อยลงและเป็นการเพิ่มภาระให้กับตัวผมเอง  พูดไปแล้ว งานๆนี้ถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อย แต่ก็ได้สนุกกับน้องๆและรู้สึกได้ทำตัวเพื่อสังคมโลกนี้บ้างในชีวิต อย่างน้อยๆ ตอนตายไปก็ยังพอจะภูมิใจว่า ชาตินี้ไม่ได้ทำอะไรแต่เพื่อตัวเองเสียอย่างเดียวหน่ะครับ แหะๆ

“คุณผู้อ่านครับ ก่อนที่จะคุณตายไป คุณได้ทำอะไรเพื่อโลกนี้แล้วหรือยังเอ่ย”