entry นี้ค่อนข้าง aggressive หน่อยนะครับ เพราะรู้สึกอัดอั้นมานาน ตอนแรกกะว่าเขียนเสร็จจะเก็บไว้ในไดอารี่ แต่เปลี่ยนใจคิดว่าอาจจะพอเป็นประโยชน์หรือเป็นหัวข้อให้มาถกเถียงกัน สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือว่า ความเกลียดชังนี่แหล่ะที่ทำให้บ้านเมืองล่มจม…
คนเราทำไมถึงเกลียดนักการเมืองโกงได้ถึงขนาดนั้น
ถ้าพูดกันตามตรงแล้ว ชีวิตคนเราจะรู้สึกว่าโดนทำร้ายจากนักการเมืองพวกนี้ได้จริงๆ หรือ
ผมว่าไม่ได้กระทบขนาดที่ทำให้รู้สึกจริงๆ ได้หรอก
เพียงแต่ว่าชีวิตเค้าต้องการหาที่ลงซักที่ ที่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ของเค้า ไม่ใช่เพราะเค้าที่ทำตัวเอง
ความคิดน่าขันอย่างหนึ่งของผมก็คือ ผมว่าจิตใต้สำนึกของคนพวกนี้ ไม่อยากให้นักการเมืองที่เค้าด่าอยู่ทุกวันหายไปจริงๆ หรอก
ไม่อย่างงั้นก็ไม่มีคน ให้ด่า ให้รู้สึกว่าตัวเองนั้นประเสริฐกว่าคนชั่วในโลกนี้เหลือหลาย
ซึ่งนี่ทำให้คนพวกนี้ จะไม่พยายามคิดถึงระบบโครงสร้างใหม่ๆ ที่จะลดคนโกงออกไป
แต่พยายามจะนั่งด่าไปเรื่อยๆ ตามจิตใต้สำนึกที่เรียกร้องพร้อมกับสุขภาพจิตที่แย่ลง
คนบางคน ไม่มองนักการเมืองโกงเป็นเชื้อโรคร้ายที่น่าเกลียดชัง
แต่เข้าใจว่าคนทุกคนต่างมีจิตใจความคิด มีศักยภาพที่จะทำดีหรือไม่ดีได้เหมือนๆ กัน
แต่ภายใต้ภาวะเงื่อนไขที่ต่างกันที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ บางคนประพฤติปฏิบัติดี บางคนทำชั่ว
เมื่อเข้าใจเช่นนี้ คนเหล่านี้จึงมองเห็นว่า การสร้างภาวะเงื่อนไขต่างๆ ที่เอื้อต่อการประพฤติดี และขัดขว้างการทำไม่ดีต่างหากที่จำเป็น
การปรับโครงสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมต่างหาก ตัวบทกฎหมายต่างหาก ที่จะนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาได้
หาใช่การขับไล่ตัวบุคคลที่ทำผิดและเกลียดชังคนเหล่านี้ให้มากไว้
อย่าหยุดจิตสำนึกเพื่อสังคมเอาไว้เพียงแค่ตัวบุคคลไม่กี่คน มองทะลุไปให้ถึงระบบโครงสร้างที่ตั้งอยู่สมดุลที่ไม่เป็นธรรม
อย่าปล่อยให้ความเกลียดชังบังตา
การโกงกินของคนไม่กี่คนอาจจะทำให้ประเทศของเราเสียหายมาก
แต่ความเกลียดชังที่ทำให้คนเป็นล้านๆ ไม่คิดไปถึงขั้นที่จะหาทางแก้ปัญหาบ้านเมือง นี้ต่างหากที่เสียหายที่สุด
ปล. เมื่อมองเห็นสิ่งที่ต้องพัฒนา ขั้นต่อไปคือเห็นวิธีการพัฒนารูปแบบใหม่
วิธีการตรงนี้จำเป็นต้องใช้ความรู้ความเข้าใจและความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยีใดที่จะมาเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายให้กับปัญหาที่มีอยู่ นวัตกรรมทางการเงินใดที่จะช่วยแก้วังวนปัญหาปัจจุบัน
ผู้ที่มองเห็นวิธีการพัฒนาตรงนี้และไม่หยุดเพียงความเข้าใจ แต่เริ่มทำอะไรขึ้นมาจริงๆ
คนเหล่านั้นแหล่ะ คือผู้ประกอบการทางสังคม