ควันหลง (ที่เกิดจากไอระเหยของน้ำตา)

ความในใจเอ่อล้นในใจความ
ในทุกยามนานเท่าไรนึกใจหวน
ภาพซ้อนภาพซ้อนทรงจำใจคร่ำครวญ
คิดทบทวนความหลังหลั่งน้ำตา

เคยนั่งเรียนเขียนอ่านอาจารย์บ่น
เคยนั่งซนไม่สนการศึกษา
เคยนั่งหลับทุกเช้าล่วงเวลา
เคยนั่งด้วยกันมาสิบสองปี

หากต้องห่างจากไกลเพียงกายไกล
ใจผูกไว้ที่เดิมที่แห่งนี้
ที่แห่งรักที่แห่งน้ำมิตรไมตรี
ที่ร่วมมีรอยยิ้มแห่งวันเยาว์วัย

วันขำขำวันเครียดเครียดวันทอดหุ่ย
วันลุยลุยกีฬาสีสุดสดใส
วันหรูหรูประจำปีเต้นกันไป
วันทุกวันผ่านไปใจผูกพัน

นึกย้อนวันปัจฉิมชิมรสเศร้า
เพื่อนของเราครูอาจารย์ต่างผ่านผัน
“เวลาเดินเร็วเกินไปอย่างไรกัน”
คำตอบนั้นพลันหลั่งไหลลงมา

น้ำตาแห่งน้ำใจและน้ำมิตร
น้ำตาแห่งความคิดคำนึงหา
น้ำตาหลั่งรินไหลร่วงโรยมา
แทนสัญญาว่าเราไม่ลืมกัน

คืนนี้ต่างคนต่างนั่งโดดเดี่ยว
ดูเปล่าวเปลี่ยวหากพร้อมเพรียงได้เพียงฝัน
พร่งนี้เช้าไม่มีแล้วที่เจอกัน
วันหน้าหากมารวมกันฝันเป็นจริง

ผมรู้สึกรักเพื่อนๆ ทุกคนมากๆ
รักอาจารย์ที่อุตส่าห์สอนผมมา มากๆ
รักโรงเรียนสาธิตเกษตรจริงๆ
แม้เป็นสิ่งที่แน่นอนว่า เมื่อเวลาผ่านไป เราก็จะต้องห่างกันไป
แต่เราไม่ทิ้งกัน

ติวคอมรุ่นน้อง ภาค3

วันพร่งนี้จะเป็นวัน สอบสสวท.ของทุกคนๆแล้ว

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ทุกๆคนผ่านการคัดเลือกไปรอบต่อไป

การติวในครั้งนี้ คงต้องยอมรับว่าผมทำได้ไม่ดีตามที่ควรจะเป็นเท่าไหร่นักที่ติวไม่ทัน เหลือเรื่องการจัดเรียงและจัดหมู่อยู่บางส่วน แล้วก็มีเวลาทบทวนprogramming และทุกๆอย่างน้อยไป ซึ่งทั้งหมดก็เป็นความผิดของผมนั้นเอง ที่แบ่งเวลาทำงานไม่ได้ แม้ว่าจะทุ่มเทเท่าไหร่ ก็คงต้องขอโทดน้องๆที่ตั้งใจมาติวตลอด สิ่งที่พอจะทำได้ตอนนี้คงได้เพียง เป็นกำลังใจ

การติวในครั้งนี้ ตั้งแต่ปิดเทอมมา ก็ทำให้ได้รู้จักสนิทสนมกับน้องบางคนมากขึ้นเป็นพิเศษ เย็นนี้หลัง 5 โมงครึ่งที่เฉลยข้อสอบเสร็จแล้ว ซอล วิน เอิร์ธ กัน แพรว และผม(เรียงตามอาวุโส) ได้กลับมาเล่นวิ่งไล่จับกันอีกครั้งที่สนามเด็กเล่นอาคาร 1 สนุกสุดๆ ขำไปวิ่งไป หนีไปไม่ไหวเพราะขำมากไปหน่อย ผมก็ไม่ได้เล่นวิ่งไล่จับแบบเอาจริงเอาจังมา 2 ปีขึ้นไปแล้ว (คนอื่นๆอาจจะห่างหายจากการวิ่งไล่จับมาตั้งแต่ประถมแล้ว?) ก็สนุกอยู่จนถึงตอนที่นึกถึงอยู่นี้เลย แต่นึกดูก็ขำตัวเอง เล่นอยู่กับน้อง ม.2ทั้งนั้นเลย

การติวครั้งนี้ เพื่อสอบ สสวท. ก็คงจะปิดฉากลงเพียงเท่านี้ แต่ทุกอย่างก็จะยังดำเนินต่อไป ผมเองจะคอยฟังผลสอบจากทุกคนในวันพรุ่งนี้ และอาจจะเอามาเขียน blog ต่อในคืนพรุ่งนี้

และการติวในครั้งหน้า จะมีอีกแน่นอน…

ปล. มิงค์กลับมาแล้ว เย้

ติวคอมรุ่นน้อง ภาค2

วันนี้เหนื่อยจังเลย…

วันนี้เป็นวันประชุมวันแรกของ กรรมการหน้าเสาธง ระหว่างที่ประชุมผมรู้สึกว่าสบายๆกว่าที่คิด ดูไปแล้วงานก็ไม่ค่อยหนักเท่าไหร่นะ ไม่รู้ว่าต่อๆไปจะหนักหนากว่าครั้งนี้ขนาดไหนอยากรู้จริง สำหรับงานที่ได้รับมอบหมายครั้งนี้ แต่น..แต้น.. ก็คือเดินไปรับเด็ก ม.1 เข้าแถว ดีจัง ฟังดูสบายดี

เวลาการประชุมล่าช้าเกินคาดจริงๆ กว่าจะเลิกก็ตอนบ่ายโมงเสียแล้ว ทำให้พอประชุมเสร็จไม่มีเวลาไปกินอาหาร เพราะได้เวลาติวคอมน้องๆที่น่ารัก(รึเปล่า?)แล้ว

พอเริ่มสอน จากหิวๆสอนๆไปมันกลับหายหิวไปเอง ดีจัง แต่ถึงอย่างไร เวลาล่วงมาถึงเกือบบ่าย 3 ก็ทนไม่ไหวต้องไปกินข้าวที่เตี้ยอุตส่าห์ใจดีซื้อมาฝากให้ถึงห้องที่สอน แล้วเตี้ยก็ไปสอนต่อจนเลิกเรียน…

ตกเย็น เดินทางไปบ้านอาจารย์จิ นั่งเรียนในบ้านอาจารย์จิ และ สัปหงกในบ้านอาจารย์จิ -_-”

เลิกเรียนก็กลับมาพักเหนื่อยที่บ้าน มานั่งเขียน blog นี้

“คุณผู้อ่านครับ คุณคยสังเกตเห็นปฏิกิริยาโต้ตอบแบบแปลกๆของร่างกายคุณบ้างไหม”

สำหรับผมมีก็จะมีปฏิกิริยาแบบธรรมดาๆอยู่เช่น เวลาเครียดก็จะปวดหัว หรือวันไหนที่ใช้ความคิดมากจะกินข้าวได้น้อย แต่มีแบบแปลกๆอยู่อย่างที่ไม่เข้าใจสาเหตุ ใครเป็นเหมือนกันช่วยบอกที นั้นคือ…เมื่อเวลาออกไปกลางแดดหรือมองดวงอาทิตย์แล้วจะจาม! แปลกไหม ว้าว! มันน่าตกใจมากเลย 555 เอาเป็นว่าใครก็ตามช่วยบอกผมทีว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

เอ๊ะ…จู่ๆความคิดมันไปถึงเรื่องนั้นได้อย่างไร ผมขอกลับมาเรื่องติวคอมเด็ก เพื่อจะได้ตรงกับหัวข้อเสียหน่อย… ก็สรุปว่าความตั้งใจที่จะติวทุกอย่างให้เสร็จสิ้นภายในปิดเทอมก็ล้มเหลว เด็กที่มาติวนั้นว่างไม่ตรงกัน ทางพวกเราก็อยากที่จะเห็นน้องทุกคนได้ติวครบทุกเรื่อง จึงต้องหาวันที่ทุกคนว่าง ผลออกมาก็คือวันที่ได้ติวลดไปเหลือน้อยกว่าครึ่งของวันที่ติวได้

แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเปิดเทอมไปก็ยังติวได้อยู่ แม้ว่าจะสะดวกน้อยลงและเป็นการเพิ่มภาระให้กับตัวผมเอง  พูดไปแล้ว งานๆนี้ถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อย แต่ก็ได้สนุกกับน้องๆและรู้สึกได้ทำตัวเพื่อสังคมโลกนี้บ้างในชีวิต อย่างน้อยๆ ตอนตายไปก็ยังพอจะภูมิใจว่า ชาตินี้ไม่ได้ทำอะไรแต่เพื่อตัวเองเสียอย่างเดียวหน่ะครับ แหะๆ

“คุณผู้อ่านครับ ก่อนที่จะคุณตายไป คุณได้ทำอะไรเพื่อโลกนี้แล้วหรือยังเอ่ย”