ความอมตะ

“ความอมตะจะทำให้สังคมดีขึ้นหรือแย่ลง ?”

ขอตั้งเป็นกระทู้ไว้ก่อนละกันนะครับ

คิดยังไงกันบ้างครับ แล้วไว้หลังสอบผมจะมาแสดงความเห็นด้วยคน

โลกความจริง โลกความฝัน โลกสังเคราะห์

เพิ่งดูเรื่อง paprika มาครับ
เป็นเรื่องที่ทำให้ รู้สึกถึงความทับซ้อนของความฝันกับความจริงสุดๆ

พอมาดูตัวเองตอนนี้ที่ปวดที่เข่ามากๆ
แล้วมองดูตัวเองแต่ก่อนตอนเป็นนักกีฬาวิ่งที่แข็งแรงมากมาย
มันทำให้รู้สึกเลยว่า นี้คือความฝันหรือเปล่า
นี่เป็นสิ่งที่ เราต้องยอมรับความจริง

รู้สึกเอาเองว่าเข้าใจ เศษเสี้ยว ความรู้สึกของคนขาขาด แขนขาดแล้ว
คิดปลอบใจตัวเองว่า อย่างน้อยการปวดเข่านี้ ก็เป็นประสบการณ์การใช้ชีวิตพิเศษ ที่มีแต่เราที่ได้เจอ 
เป็นสิ่งพิเศษ ที่ชีวิตให้มันกับเรามา
รู้สึกนิดๆ ว่าช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้น แม้ความเจ็บจะยังเป็นจริงอยู่
ไม่แน่ใจว่า ถ้าเราปวดไปนานๆ แต่ก็คิดได้แบบนี้ไปนานๆ เหมือนกัน
เราจะเริ่มไม่รู้สึกว่า ความปวด มันลิงค์กับความทุกข์หรือเปล่านะ

ลึกๆ ก็อยากให้มันเป็นความฝันที่ตื่นมาแล้วหายปวดหน่ะแหล่ะที่จริง
มันทำให้เรานึกถึง เรื่องสมมติที่เราชอบนึกถึงบ่อยๆ เรื่องนึง (แรงบันดาลใจจากเรื่อง ลูป)
ถ้าเราสามารถ ทำการ digitize ตัวเอง เพื่อแลกกับความอมตะ แล้วเรายอมไหม

เรายอม 

ที่จริง.. มันไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำเลยนี่นา
การต้องอยู่ในโลกจริง เราต้องดำเนินตามกฎของโลกจริง
ในความฝันของเรา เราเป็นคนตั้งกฎเอง (ซึ่งมีพื้นฐานมาจากโลกจริง) ในชั่วเวลาหนึ่งๆ
โลกสังเคราะห์ คือโลกที่เราสร้างกฎขึ้นมาเองได้
เราแอบอธิษฐานว่า ขอให้ได้อยู่ในโลกนั้น ที่อมตะ ก่อนเราตายเถอะนะ

เราไม่ได้ ไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง ถึงอยากอมตะ
เราชอบความเปลี่ยนแปลง ถึงอยากอยู่รับรู้เรื่องราว รื่นรมย์ของชีวิต ไปเรื่อยๆ  …ตอนนี้ เรามีความสุขที่เรามีชีวิตมาก
จริงอยู่ ความตายอาจเปิดประตู พาเราไปสู่ดินแดนที่มีกฎแบบใหม่
แต่มันก็อาจสิ้นสุด เป็นความว่างเปล่า แบบใน death note ได้เหมือนกัน
และถ้าเป็นแบบนั้น มันน่าเสียดาย ความรู้ที่มี ที่น่าเอาไปบอกต่อจริงๆ

ปล. เรื่องก็คือว่า คนที่ผมแอบชอบคนแรกนั้น ผมรู้จักเธอคนนั้นจากในความฝันมากกว่าในความจริงซะอีก
ปล2. รู้สึกว่าตัวเอง เฟื้องเข้าขั้น  แต่ผมเป็นคนปกตินะครับ  หวังว่าบางอย่างจะมีประโยชน์กับคนที่อ่าน