แปรงฝัน

ช่วงหลังๆ มานี้ ร่างกายผมต้องการการนั่งสมาธิก่อนนอนมากขึ้น
ไม่อย่างงั้นจะนอนไม่หลับ เพราะไม่สามารถหยุดคิดงานที่นั่งคิดมาทั้งวันได้

แม้ว่าหลายครั้งที่สามารถหลับไปได้ โดยที่ยังคิดไปเรื่อยๆ
แต่ก็พบว่า น่าจะเป็นการหลับไม่สนิท เพราะตื่นมาไม่สดชื่น

เมื่อนั่งสมาธิก่อนนอน เราจะรู้สึกได้เลยว่า กล้ามเนื้อต่างๆ รอบๆ หัวจะค่อยๆ ผ่อนคลายลงไป
ผมเข้าใจว่าเมื่อเพ่งความคิด กล้ามเนื้อเหล่านี้จะเกร็งโดยที่เราไม่รู้ตัว และไม่สามารถทำให้หายเกร็งได้ตามใจอยาก
หลังจากนั้น ก็จะมีช่วงที่หยุดคิดได้บ้าง แต่ก็จะมีความคิดเข้ามาเรื่อยๆ อยู่ดี ระหว่างนี้เราไม่ควรพยายามห้ามคิด
ผมปล่อยความคิดตามน้ำไป บางทีมันก็เหมือนช่วยจัดการอะไรที่ยุ่งๆ มาเข้าร่องเข้ารอย
หลังจากนั้น ก็จะค่อยๆ รู้สึกตัว ถึงความรู้สึกรอบกายมากขึ้นว่านั่งอยู่ท่าไหน แขนขารู้สึกอะไร
และรู้สึกกล้ามเนื้อส่วนหลัง และอื่นๆ ก็ผ่อนคลายตาม
ความคิดก็จะเข้ามาถี่น้อยลงๆ ไปเรื่อยๆ จนเป็นรู้สึกตัวและลมหายใจเป็นหลัก
หลังจากนี้ก็จะนอนหลับง่าย และตื่นมาสดชื่น

ผมเคยคิดตอนอยู่ที่ไทยก่อนมาทำงานวิจัยว่า
การนั่งสมาธิที่เป็นการฝึกไม่คิด มันจะทำให้ขัดแย้งกับงานคณิตศาสตร์ที่เน้นคิดแหลกลาญหรือเปล่า

ตอนนี้ผมก็แน่ใจแล้วว่า มันส่งเสริมกัน
การคิด ไม่ใช่ว่าคิดตลอดเวลาแล้วจะดี
ต้องมีหยุด เหมือนออกกำลังกาย
ล้างเศษความคิดที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ออกไป
เพื่อให้เป็นระเบียบและเติมความคิดใหม่เข้ามาสำหรับวันใหม่ได้ดีขึ้น

แม้ว่า นานมาแล้วผมจะเลิกมองการนั่งสมาธิเป็นกิจกรรมศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา
แต่เป็นการฝึกจิตใจสำหรับทุกคนทุกศาสนา
ผมก็ยังมองว่ามันเป็นการฝึกจิตใจระดับสูงเพื่อ ความพัฒนาขั้นสูง

วันนี้ผมคิดว่าเราควรเปลี่ยนการมองนี้เสียใหม่
เราควรมองกิจกรรมนี้ เป็นกิจกรรมระดับเดียวกับกิจวัตรประจำวันแบบการดื่มน้ำหลายๆ แก้ว หรือการแปรงฟัน
ประโยชน์และความจำเป็นของการนั่งสมาธินั้น อยู่ในระดับนี้เลยทีเดียว
เหมือนกับเราไม่แปรงฟันไป ปากก็จะเน่าๆ ไปเรื่อยๆ หรือไม่ดื่มน้ำนานๆ ก็คงเจ็บคอ
วิธีการแก้ปัญหา ความไม่สบายทางใจ โดยวิธีการทั่วไป ก็คล้ายๆ กับการที่
เราไม่แปรงฟัน ปากเหม็น แล้วก็เลยฉีดน้ำหอมเพิ่มเข้าไป หรือไม่ดิ่มน้ำเจ็บคอ เลยก็ยาแก้เจ็บคอมากิน

ที่จริงแค่แปรงฟันก็จบ
นั่งสมาธิก็เหมือนการแปรง”ฝัน”
ปัดความคิดความฝันที่ยุ่งเหยิง หยุดมันไว้บ้าง แก้ปัญหาอย่างตรงจุด
เหนื่อยใจ ก็หยุดพักใจ

มองไปในภาพที่กว้างขึ้น
ผมคิดว่า สังคมเรามีวิธีการให้ความสำคัญที่กับหลายอย่างผิดๆ
นั้นคือ สิ่งสำคัญบางอย่าง เราก็มอบความศักดิ์สิทธิ์หรือสูงส่งให้กับมัน (ศาสนา ชาติ โขน การนั่งสมาธิ ฯลฯ)
ยกขึ้นสูง เมื่อแตะต้องไม่ได้ ก็ไม่ได้ปฏิบัติ ทำความเข้าใจ และพัฒนามันต่อไป
ควรจะลดความศักดิ์สิทธ์ความสูงส่งของทุกสิ่ง ดึงมันลงมาในระดับชีวิตประจำวัน
สิ่งที่ยึดโยงกับชีวิตเราทุกวัน นั้นถึงจะคือสิ่งที่สำคัญ
และด้วยวิธีแบบนี้เราจึงจะเข้าใจและพัฒนามันต่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตเราได้

และถ้าเป็นไปได้ ยังไงก็
อย่าลืมลองแปรงฝัน กันก่อนนอนนะครับ

Leave a comment