อุปมาอุปไมยชีวิต

การบ้านวิชาศิลปะการใช้ชีวิตครับ ตั้งใจทำมากก็เลยเอามาเป็นบล็อกด้วยเลย

ชีวิตเราไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องใกล้ตัวหรือสิ่งที่อยู่ติดกับคนเรา ชีวิตคือทั้งหมดที่เป็นเรา  แต่ในความจริง มีช่วงเวลาที่คนเราใช้ชีวิตเพียงบางเวลาเท่านั้นที่เราระลึกรู้ถึงความมีชีวิต เวลาอื่นๆ ส่วนใหญ่ของเรามักจะนำความระลึกรู้ไปอยู่กับการทำงาน การสื่อสารและชีวิตประจำวัน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้แม้คนเราจะมีชีวิตอยู่ตลอดเวลาแต่เรากลับไม่สามารถเข้าใจว่าชีวิตคืออะไรได้อย่างน่าขัน ผมเองก็ถือเป็นคนน่าขันผู้หนึ่งเช่นกัน

ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผมพยายามทำความเข้าใจความจริงในหลายๆ แง่มุมผ่านความคิด “ชีวิตคืออะไร” นับเป็นความถามหนึ่ง  ผมไม่แน่ใจว่าความจริงนั้น ที่จริงแล้วซับซ้อน หรือว่าเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง แต่ผมเชื่อว่าวิธีเข้าใจถึงความจริงที่ดีวิธีหนึ่งคือวิธีแบบวิทยาศาสตร์ นั้นคือการจับเอาสิ่งที่เราพยายามทำความเข้าใจมาอยู่ในกรอบที่ดูเรียบง่ายกว่า ลองเปรียบเทียบผลการวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ ผ่านกรอบนั้นว่าได้ผลตรงกับการสังเกตเห็นนอกกรอบหรือไม่ ตราบใดที่ผลการทดลองยังได้ผลตรงกันอยู่แสดงว่าเราสามารถพูดถึงกรอบนั้นแทนความเป็นจริงได้

ผมพบว่ามีกรอบๆ หนึ่งที่ใช้อธิบายแง่มุมต่างๆ ของชีวิตได้ดี ด้วยความที่เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน หลากหลาย ถูกสร้างขึ้นผ่านวัตถุดิบ ร่วมกับจิตสำนึกรวมไปถึงจิตใต้สำนึก สิ่งที่ผมกล่าวถึงคืองานจิตรกรรม

ถ้าชีวิตเป็นตัวงานจิตรกรรม สิ่งที่เป็นตัวกำหนดชีวิตหรือความคิดนั้น ย่อมคือสีสันต่างๆ ที่ผสมกันบนถาดสี  ถาดสีที่ดีนั้นควรจะเป็นถาดที่บรรจุเนื้อสีพอสมควร และมีจำนวนสีที่หลากหลายเพียงพอที่จะสะท้อนความต้องการของศิลปินออกมาได้  การที่เนื้อสีมีอยู่น้อยก็เปรียบเหมือนการมีความคิดความอ่านที่สะสมมาน้อย เมื่อถูกสีจากที่อื่นมาปนเปื้อนเข้าก็ย่อมเปลี่ยนสีไปอย่างง่ายดาย การที่เราศึกษาหาความรู้ในเรื่องต่างๆ อย่างลึกซึ้งย่อมทำให้ถูกชักจูงไปตามกระแสต่างๆ ทั้งจากคนอื่นและตัวเองได้ยาก  อย่างไรก็ตาม การสะสมความรู้ความเข้าใจแต่มีขอบเขตเพียงในวงแคบก็เปรียบเหมือนถาดสีที่มีสีอยู่เพียงโทนเดียว หากเปรียบความรู้ทางคณิตศาสตร์เป็นสีเขียว นักคณิตศาสตร์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมากๆ ก็จะสามารถสร้างสรรค์งานจิตรกรรมสีเขียวต่างๆ ของต้นไม้โดยเจาะละเอียดจนเห็นทุกเส้นใยของสีใบไม้ทุกใบในป่า แต่อาจไม่สามารถสะท้อนความงามใต้ท้องทะเลหรือสีสันอันหลากหลายของปลาตัวเล็กมากกมายที่มีอยู่ คนที่มีสีสันให้เลือกระบายมากเท่านั้นจึงจะเป็นผู้สะท้อนความจริงที่หลากหลายออกมาได้

เราทุกคนล้วนมีความต้องการพื้นฐานต่างๆ ที่เป็นแรงขับให้เรากระทำสิ่งต่างๆ  ในทำนองเดียวกับศิลปินที่มีแรงบันดาลใจที่จะต้องระบายสีออกมา ผลงานชีวิตที่ออกมาจะมีคุณภาพเพียงใดส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับสีมีมีอยู่ในถาดหรือความคิดนั้นเอง  มีผู้กล่าวว่างานศิลปะที่ดีคืองานที่จรรโลงใจของผู้ชม ผมเชื่อว่าชีวิตที่ดีคือชีวิตที่จรรโลงสังคมให้ดีขึ้นเช่นกัน

งานศิลปะที่ดีนั้นมีจุดร่วมที่สามารถสรุปออกมาเป็นหลักการหลวมๆ ได้ เช่น ต้องมีสมดุล มีจุดเด่นที่ดึงสายตา มีความเรียบง่ายพอให้คนดูไม่สับสน และที่สำคัญที่สุดคือต้องมีแก่นความคิดที่ดีที่จะสื่อออกมา ชีวิตที่ดีก็เช่นกัน นั้นคือต้องดูแลรักษาสมดุลในแง่ต่างๆ ของชีวิต เช่นเรื่องครอบครัวและการทำงาน ไม่ทำให้สังคมเดือดร้อน และพยายามสื่อสารความคิดที่ดีให้กับสังคม โดยจะทำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าเป็นคนที่มีชื่อเสียงเป็นจุดสนใจ

อย่างไรก็ดี หลักการของงานศิลปะที่ดีนั้น ไม่ใช่สูตรสำเร็จในการสร้างงานศิลปะ ยังมีรูปแบบมากมายไม่จำกัดที่สามารถสร้างสรรค์งานที่แม้จะหลุดจากหลักการที่เคยมียังคงความน่าทึ่ง ผมนึกถึงผลงานของปิกัสโซและผมเชื่อว่าศิลปินสิทธิ์เต็มที่ที่จะระบายภาพใดๆ ลงในผืนผ้าของตัวเอง ชีวิตของคนแต่ละคนสามารถมีสมดุลในระดับที่ต่างกันไปหรือบางคนก็ไม่ต้องการมีชื่อเสียง แม้ผมคิดว่าการสื่อสารความคิดที่ดีให้กับสังคมเป็นเรื่องที่ดี แต่การสร้างสูตรสำเร็จตามความเชื่อของตัวเองแล้วบังคับให้สังคมยึดตามนั้นทำให้สังคมขาดความหลากหลาย เพราะขาดการพยายามคิดสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ๆ ที่ดีกว่า

งานศิลปะใดๆ แม้จะมีวัตถุดิบหรือความรู้ความคิดที่เพรียบพร้อม แต่ก็ยังออกมาเป็นงานที่ดีไม่ได้ถ้าขาดการวางแผนและความเชี่ยวชาญ ซึ่งคือการใช้จิตสำนึกและจิตใต้สำนึกในการทำงาน  งานจิตรกรรมที่ขาดการวางแผนวางองค์ประกอบย่อมเป็นงานที่ไม่สมดุลหรือาจสื่อความคิดได้น้อย เราสามารถเห็นการวางแผนที่ชัดเจนได้ผ่านงานแนวมินิมอลลิซึ่ม อย่างไรก็ตามการวางแผนในทุกลายเส้นที่จะวาดนั้นย่อมเปลืองเวลาและพลังงาน การมีความเชี่ยวชาญหรือใช้จิตใต้สำนึกในการทำงานไปโดยอัติโนมัติจึงเป็นสิ่งจำเป็น เช่นเดียวกันกับชีวิตที่นอกจากควรมีความคิดความอ่านที่ลึกซึ้ง ยังควรมีสติรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในสถานะใดและจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร และยังจำเป็นต้องฝึกทักษะในแง่ต่างๆ ให้เชี่ยวชาญเผื่อให้สามารถทำงานได้รวดเร็ว กระนั้นบางครั้งความเชี่ยวชาญก็ทำให้เราเผลอทำตามความเคยชินจนต้องตามแก้ เราจึงต้องหาสมดุลระหว่างการวางแผนและความเชี่ยวชาญ

เท่าที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นความพยายามมองชีวิตผ่านกรอบของงานจิตรกรรม แต่โดยส่วนตัวนั้นผมเชื่อว่าชีวิตก็คือชีวิต เราไม่สามารถแสดงโลกที่เป็นรูปทรง 3 มิติมาเป็นบนผืนผ้า 2 มิติให้ครบทุกแง่มุมฉันใด การฉายภาพชีวิตลงบนงานจิตรกรรมย่อมไม่สมบูรณ์ฉันนั้น

update: แนวคิดเรื่องผสมสีนั้นที่จริงผมได้เคยเขียนไว้ตั้งแต่เอนทรี่ผสมสีความคิดครับ มันเป็นแนวคิดจากป่านนั้นเองครับ ตอนนั้นกำลังคิดเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้วพอได้อ่านงานของป่านก็รู้สึกปิ๊งขึ้นมาเลยแล้วก็เก็บไว้ในใจมาตลอด

เบื่อโลก

ผมอยากให้โลกนี้ไม่ใช่ความจริงดูซักหน่อย
ลองเป็นแค่ความฝัน  เป็น the matrix  หรือรู้ตัวอีกทีแล้วพบว่าผมเป็นแค่ความคิดในนิยายของใครซักคน
หรือให้โลกนี้เป็นการทดลองวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ต่างดาวก็ได้
เบื่อกันไหมครับ…  โลกนี้มันน่าจะมีอะไรมันส์ๆ กว่านี้แบบในการ์ตูน
หมู่บ้านนินจา  ผมอยากมีคาถาลวงตาแบบอิทาจิ  หรือเวทมนตร์ก็ได้
เมื่อไหร่พวกสัตว์จะพูดได้กันนะ  อยากบินได้ด้วย  อยากมีกำลังภายในกับพลังจิต
หรือถ้าฝึกให้หนักแล้วเป็นซุปเปอร์ไซย่าได้ แบบนี้ก็ได้
ทำไมโลกแห่งความจริงมันถึงน่าเบื่อแบบนี้
เรามาช่วยกันดีกว่า ถ้าเรากำลังอยู่ใน the matrix หรือในนิยายของใครสักคนจริงๆ
เรามาช่วยกันประท้วงให้โลกมันเจ๋งขึ้นกันดีกว่า
คาถามีอยู่ว่า “รำปูรำได สบายดีเฮ”

นิทานเรื่อง หมาป่ามองพระจันทร์

คืนนึง
หมาป่ามองพระจันทร์
แล้วก็คิดว่า
“พระจันทร์ช่างงดงาม”

หลังจากนั้น
ห้วงความคิดหนึ่ง ก็แทรกเข้ามาในหัว
หมาป่ารู้สึกเหมือน
กำลังร่วงลงไปในหุบเหว
แห่งความมืด…

“พระจันทร์ดวงนี้ อาจจะไม่ใช่ของจริงก็ได้…
พระจันทร์จริงๆ ควรจะสว่างและกลมมน ไม่มีริ้วรอยแบบนี้”

หมาป่าพบว่า
ต้นไม้รอบๆ ตัว ก็อาจจะไม่ใช่ของจริง
“ของจริงๆ ควรจะไม่เหี่ยวๆ แบบนี้…
…เรากำลังอยู่บนโลกที่มีแต่ของปลอม”
หมาป่าอยากจะหลับตา
เพื่อฝัน

“ของจริง ที่ไม่มีริ้วรอย…
มีเพียงสิ่งที่อยู่ในใจของเราสินะ”

แล้วหมาจิ้งจอกก็เดินมา ถามว่า
“ยืนบื้ออะไรอยู่”
หมาป่าบอกว่า
“เราเพิ่งค้นพบความจริงบางอย่าง…
สิ่งที่อยู่รอบตัวเราอาจไม่ใช่ของจริงสักอย่าง…
แม้แต่ร่างกายของแกก็ตาม…
ร่างกายของเราก็ด้วย”

“เพ้อหว่ะ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจะมีอะไรจริงเนี่ย”
หมาจิ้งจอกถาม

สิ่งที่แท้จริง
มีอยู่ในโลกแห่งความจริง ที่เราก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน
อีกที่หนึ่งคือ ในใจของเรา
ทุกสิ่งที่เป็นของจริงถูกเก็บไว้ในใจเรา 
ส่วนในโลกใบนี้  มีเพียงใจเรา
ที่เราแน่ใจว่าเป็นของจริง
เพราะเรากำลังคิด
เข้าใจไหม
ตอนนี้แม้แต่แกเอง เราก็ไม่แน่ใจว่าเป็นแกจริงๆ ได้ 
อาจจะเป็นหมาจิ้งจอกปลอมๆ ที่ไม่มีชีวิตมาคุยเพราะถูกใส่โปรแกรมเอาไว้ ก็ได้

แล้วหมาจิ้งจอกก็บอกว่า
“ไอ้โง่เอ้ย  คิดฟุ้งซ่านหว่ะ  หิวหรือยังเนี่ย ไม่หาอาหารซะที”
หมาป่า ก็รู้สึกว่า ตัวเองหิว เลยพยักหน้า
“เออ งั้นก็ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันเถอะ เอ้อ…  ไอ้บ้า”
“…”
แล้วทั้ง 2 หมาก็วิ่งไปด้วยกัน

“เฮ้ย วันนี้พระจันทร์สวยจังเลย ว่ามะ”
“..อืม สวย
จริงๆ”

โลกความจริง โลกความฝัน โลกสังเคราะห์

เพิ่งดูเรื่อง paprika มาครับ
เป็นเรื่องที่ทำให้ รู้สึกถึงความทับซ้อนของความฝันกับความจริงสุดๆ

พอมาดูตัวเองตอนนี้ที่ปวดที่เข่ามากๆ
แล้วมองดูตัวเองแต่ก่อนตอนเป็นนักกีฬาวิ่งที่แข็งแรงมากมาย
มันทำให้รู้สึกเลยว่า นี้คือความฝันหรือเปล่า
นี่เป็นสิ่งที่ เราต้องยอมรับความจริง

รู้สึกเอาเองว่าเข้าใจ เศษเสี้ยว ความรู้สึกของคนขาขาด แขนขาดแล้ว
คิดปลอบใจตัวเองว่า อย่างน้อยการปวดเข่านี้ ก็เป็นประสบการณ์การใช้ชีวิตพิเศษ ที่มีแต่เราที่ได้เจอ 
เป็นสิ่งพิเศษ ที่ชีวิตให้มันกับเรามา
รู้สึกนิดๆ ว่าช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้น แม้ความเจ็บจะยังเป็นจริงอยู่
ไม่แน่ใจว่า ถ้าเราปวดไปนานๆ แต่ก็คิดได้แบบนี้ไปนานๆ เหมือนกัน
เราจะเริ่มไม่รู้สึกว่า ความปวด มันลิงค์กับความทุกข์หรือเปล่านะ

ลึกๆ ก็อยากให้มันเป็นความฝันที่ตื่นมาแล้วหายปวดหน่ะแหล่ะที่จริง
มันทำให้เรานึกถึง เรื่องสมมติที่เราชอบนึกถึงบ่อยๆ เรื่องนึง (แรงบันดาลใจจากเรื่อง ลูป)
ถ้าเราสามารถ ทำการ digitize ตัวเอง เพื่อแลกกับความอมตะ แล้วเรายอมไหม

เรายอม 

ที่จริง.. มันไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำเลยนี่นา
การต้องอยู่ในโลกจริง เราต้องดำเนินตามกฎของโลกจริง
ในความฝันของเรา เราเป็นคนตั้งกฎเอง (ซึ่งมีพื้นฐานมาจากโลกจริง) ในชั่วเวลาหนึ่งๆ
โลกสังเคราะห์ คือโลกที่เราสร้างกฎขึ้นมาเองได้
เราแอบอธิษฐานว่า ขอให้ได้อยู่ในโลกนั้น ที่อมตะ ก่อนเราตายเถอะนะ

เราไม่ได้ ไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง ถึงอยากอมตะ
เราชอบความเปลี่ยนแปลง ถึงอยากอยู่รับรู้เรื่องราว รื่นรมย์ของชีวิต ไปเรื่อยๆ  …ตอนนี้ เรามีความสุขที่เรามีชีวิตมาก
จริงอยู่ ความตายอาจเปิดประตู พาเราไปสู่ดินแดนที่มีกฎแบบใหม่
แต่มันก็อาจสิ้นสุด เป็นความว่างเปล่า แบบใน death note ได้เหมือนกัน
และถ้าเป็นแบบนั้น มันน่าเสียดาย ความรู้ที่มี ที่น่าเอาไปบอกต่อจริงๆ

ปล. เรื่องก็คือว่า คนที่ผมแอบชอบคนแรกนั้น ผมรู้จักเธอคนนั้นจากในความฝันมากกว่าในความจริงซะอีก
ปล2. รู้สึกว่าตัวเอง เฟื้องเข้าขั้น  แต่ผมเป็นคนปกตินะครับ  หวังว่าบางอย่างจะมีประโยชน์กับคนที่อ่าน