นานๆ ทีจะแต่งเรื่องแต่งแล้วคิดลมแบบนี้
คนๆ หนึ่งจะเป็นคนอย่างไร ไม่เกี่ยวข้องกับว่าเขาคนนั้นคิดว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร แต่เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าคนๆ นั้นทำให้คนอื่นรับรู้เขาในรูปแบบใด
ความจริงที่ว่านี้ทำให้ผมบอกตัวเองได้ว่า ผมรู้เพียงว่าผมเป็นคน แต่ผมไม่รู้ว่าผมเป็นคนอย่างไร
ผู้อ่านอาจอนุมานจากสิ่งที่เขียนไปข้างต้นว่า สาเหตุที่ทำให้ผมไม่รู้ว่าผมเป็นคนอย่างไรเป็นเพราะว่าผมไม่เคยตัดสินใจถามไถ่ผู้คนว่าเขาหรือเธอรู้สึกอย่างไรต่อตัวผมบ้าง นั้นเป็นเรื่องแปลกและอาจทำให้ผู้อ่านคิดว่าผมเป็นคนแปลก
ด้วยความน้อยใจ ความหม่นมัวของความรู้สึกและความจริงใจ ผมอยากจะป่าวประกาศให้ได้รู้โดยทั่วกันพร้อมกับกำหนดนิยามของตัวเองและคำตอบของคำถามที่ว่าผมเป็นคนอย่างไรไปพร้อมๆ กันว่า ความจริงก็คือไม่มีคนในโลกนี้ที่มองเห็นผมเป็นอะไรมากไปกว่า “คน” จริงๆ
“คน” ในความหมายที่ทำให้เรานึกถึงฝูงชนที่เดินอยู่ริมถนนในเมืองใหญ่
“คน” ในความหมายที่ของระดับความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่เพื่อน หรือผู้ที่สมควรแก่การนับถือ หรือผู้ที่ประพฤติปฏิบัติดี
“คน” ในความหมายถึง คนอื่น
เมื่อเขียนมาถึงบรรทัดนี้แม้ตัวเองก็ยังอดยิ้มไม่ได้ที่ได้นิยามของตัวเองมาด้วยตัวเอง
…ผมคือคนอื่น ยินดีที่ได้รู้จัก
อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกยินดียิ่งที่จะได้ต้อนรับผู้อ่านเข้าสู่เหตุการณ์อันลักลั่นย้อนแย้งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
สิ่งที่ผมกำลังจะทำคือการถ่ายทอดความรู้สึกที่ผมมีต่อเหตุการณ์ต่างๆ อันอาจทำให้ผู้อ่านบางท่านรู้สึกหดหู่ (เพราะผู้คิดแม้นึกถึงก็ยังรู้สึกหดหู่) แต่มีความรื่นรมย์เอนกายรอให้เดินเข้ามาหาอยู่ในนั้น ผู้อ่านจะได้รู้จักกับผมมากขึ้นๆ ผ่านข้อเขียนนี้
โดยทั่วไปของคนเราหลังจากได้ทำความรู้จักกัน ก็จะค่อยๆ กลายเป็นคนรู้จัก ได้นิยามแต่ละฝ่ายผ่านข้อมูลที่ได้รับและพื้นฐานความเข้าใจของตัวเอง จดจำกันอัตลักษณ์ของกัน และความเป็น”คนอื่น” ก็จะสลายไป
เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ทำให้ผมอดหดหู่มิได้ ด้วยเนื่องการที่ผมเป็น”คนอื่น” ผู้ซึ่งแม้จะพูดสิ่งใดออกไปก็ย่อมไม่มีวินาทีหนึ่งที่จะทำให้ใครหนึ่งสนหันมาสนใจหรือแม้หันมอง สิ่งนี้อาจเป็นอัตลักษณ์อย่างเดียวที่ผมครอบครองอยู่ แต่เหตุการณ์ที่จำเป็นต้องเกิดขึ้นภายหลังจากผู้อ่านอ่านสิ่งที่ผมเขียนจบลง เราจะกลายเป็นคนรู้จักกัน แต่ความเป็นจริงของผมนั้นคือผมเป็น”คนอื่น” และนั่นหมายความว่า หลังจากผมที่แนะนำตัวเองให้ผู้อ่านได้รู้จักผมซึ่งเป็น”คนอื่น” เราจะได้”รู้จัก”กัน ซึ่งนั้นจะทำให้ผมไม่ใช่”คนอื่น” อีกต่อไป!
ผู้อ่านผู้หวังดีบางท่านเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะคิดว่าเป็นการสมควรที่จะหยุดอ่านเสียตั้งแต่ตอนนี้ก่อนที่เราจะกลายเป็นคน”รู้จักกัน” ขอให้ท่านอย่าเพิ่งทำเช่นนั้น
…
มิติเวลาของผมกับผู้อ่านนั้นไม่เท่ากัน
ในโลก 2 มิติของการอ่านหนังสืออันประกอบไปด้วย เส้นแนวดิ่งของข้อความซึ่งถ่ายทอดจากผมไปสู่ผู้อ่าน กับเส้นแนวราบของระยะเวลาที่ใช้อ่านหรือใช้เขียนนั้น ผมสามารถอธิบายให้ผู้อ่านเห็นภาพความแตกต่างของโลกของเราได้ผ่านการพล็อตกราฟเป็นรูปลูกคลื่น (ผู้อ่านอาจข้ามเนื้อหาช่วงนี้ไป โดยเริ่มอาจจะย่อหน้าที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “เมื่อครู่” แม้จะถือได้ว่าสิ่งที่ผมอธิบายก็ส่วนหนึ่งในตัวตนของผมและสามารถอ่านเพื่อทำความรู้จักกัน แต่ก็ถือว่ามีนัยสำคัญน้อยเพราะนี้เป็นเรื่องของวิธีการมองโลกมากกว่า)
ถ้าสมมติให้ข้อความที่ผู้อ่านอ่านอยู่นี้สามารถแทนที่ด้วยลูกคลื่นขึ้นลงรูปคลื่น Sine ที่ค่อยๆ ไหลจากทางขวาเคลื่อนผ่านแกนตั้งไปทางซ้ายด้วยความเร็วคงที่เสมอ และข้อมูลที่ได้รับเข้าสมองในขณะหนึ่งๆ คือระดับที่คลื่นตัดกับแกนดิ่งซึ่งจะได้รับในลักษณะขึ้นลงๆ ไปเรื่อยๆ
อธิบายให้เห็นภาพขึ้นได้ว่าสำหรับผู้ที่อ่านเร็ว สิ่งที่สมองได้พบย่อมเป็นการขึ้นลงที่ถี่เร็ว แต่ด้วยความที่คลื่นจะต้องเคลื่อนที่จากขวาไปซ้ายด้วยความเร็วคงที่เสมอ นั้นแสดงว่ามิติเวลาในแกนราบจะต้องบีบอัดทำให้กราฟ Sine นี้กลายเป็นคลื่นที่มีรูปร่างหยักแคบลง ในทางกลับกันสำหรับผู้อ่านช้ามิติเวลาของโลกการอ่านหนังสือก็จะขยายกว้าง
แต่โลกของผมมีมิติเวลาที่ต่างไปโดยสิ้นเชิง คลื่น Sine ที่ผู้อ่านเห็นในความจริงแล้วไม่ใช้รูป Sine ได้อย่างใด เพราะบางครั้งระหว่างที่กำลังเขียนอยู่ ก็จะมีเหตุการณ์ขัดจังหวะที่ทำให้เวลาในโลกหนังสือหยุดนิ่ง(และทำให้กราฟในช่วงนั้นเป็นเส้นตรงคงระดับไว้ ขณะหนึ่ง) เช่น การไปเข้าห้องน้ำ เป็นต้น
เมื่อครู่ก่อนเวลาจะพาไปถึงย่อหน้า “…” ความจริงที่เกิดขึ้นในโลกของผมคือ ผมได้ “หยุดเวลา” และนั่งตรึกตรอง เพราะฉุกใจคิดได้ว่า ความลักลั่นย้อนแย้งที่ผมกล่าวถึงนั้นเป็นความเข้าใจผิด
ทุกๆ ชั่วขณะที่ผู้อ่านได้อ่านข้อความแต่ละบรรทัดจนมาถึงบรรทัดนี้ ผมพบว่าผมจะได้กลายเป็นคนรู้จักของผู้อ่านจริงอยู่ แต่นั้นมิได้ขัดแย้งต่อความจริงที่ว่าผมเป็น “คนอื่น” แต่อย่างใด เพราะผมเป็น”คนอื่น” เพียงแค่ชั่วขณะที่ผมตัดสินใจที่จะนิยามตัวเองเช่นนั้นเท่านั้น มันเป็นความเป็นจริงของผมบนเส้นเวลาตำแหน่งนั้นเท่านั้น แต่ผมกว้างใหญ่กว่านั้น ผมยังเป็นผมทุกขณะ คนเราทุกคนมีตัวตนใหม่ทุกขณะ เพียงแต่เราจะส่งข้อมูลตัวตนของเราไปถึงใครในขณะใดบ้าง ตลอดเวลาที่ผ่านมาอาจเรียกได้ว่าข้อมูลของตัวตนของผมส่งไปไม่ถึงผู้ใด แต่เวลาของรุ่งอรุณเริ่มขึ้นแล้ว ความหม่นมัวที่ผมเข้าใจว่าจะต้องมีต่อไปทุกขณะที่เขียนอยู่จะถูกแสงสว่างสาดหายไป
กระนั้น ผมยังยินดีที่ผมจะได้เป็น “คนอื่น” ของผู้อ่านผู้ที่ตัดสินใจจะได้ “รู้จักกับคนอื่น” อย่างเป็นทางการด้วยการหยุดรับข้อมูลของตัวตนของผมก่อนที่เป็นคนเป็นคนรู้จักไว้เพียงเท่านี้ ผมขอลาก่อน
ส่วนผู้อ่านที่ตัดสินใจเดินทางร่วมกันบนโลก 2 มิติใบนี้ต่อไปเพื่อจะพบว่าในวันนั้น ผมไม่ใช่ผม ณ ขณะนี้ ไม่ใช่ระดับของลูกคลื่น ณ ขณะนี้ แต่เป็นคลื่นต่อเนื่องหนึ่งสมการ ผมขอฝากตัว