วันธรรมดา ๆ กับเพื่อน ๆ ธรรมดา ๆ

เหนื่อยมากเลยวันนี้ ขามันร้องได้คงร้องแล้ว 
ง่วงมากด้วยคืนนี้ แต่อยากจะฝืนสติมาเขียนด้วยที่ไม่ได้เขียนมานาน
เพราะวันนี้ก็คือวันที่เราได้ไปเที่ยวกันกับเพื่อนๆ (ที่โรงเรียน ซึ่งก็คือ เตี้ย ป๊อป โพ บิ้ว ปิ๋ม ติ๊บ แนต นิดา เห็ด แก้ว นั่นเอง)

เริ่มตั้งแต่ นัดเจอกันที่โรงอาหารบาร์ใหม่ ไปปั่นจักรยานที่สวนรถไฟนานสองนานจนเมื่อยไปเหมือนกัน และพอเมื่อยกันแล้วนั่งพักติ๊บก็มาถึงพอดี… 11 โมงกว่าจากที่นัดไว้ 10 โมง แต่ก็เข้าใจนะ เห็นใจด้วย เฮ้อ… ติ๊บบอกว่าเดินมา ก็คงเมื่อยพอกันทั้งคนที่มาถึงก่อนและคนที่เพิ่งมาถึง

แล้วก็ต่อด้วย ไปซื้อข้าวเหนียวไก่ย่างส้มตำน้ำตกผลไม้มาปูเสื่อเปิบกินกันใต้ร่มไม้ สำหรับโพแล้ว ถ้าเป็นภาษาเตี้ยก็คือเรียกว่า ไปกระซวกกิน 
ปิกนิกข้าวเหนียวไก่ย่างใต้ร่มไม้… เราแทบจะไม่เคยเลยแหะ ที่จริงก็อาจจะไม่เคยด้วยซ้ำ ก็ถือเป็นประสบการณ์ดี ชอบมากด้วย

กินกันเสร็จแล้วก็จะพากันยกขนวนไปพายเรือ ต้องเรียกว่ายกขบวนเลยเพราะกลุ่มของเราใหญ่จริงๆ ที่จริงแล้วเราหน่ะอยากจะชวนคนอื่นอีกหรอก แต่กลัวมันจะใหญ่ไป พอกลุ่มใหญ่ไปก็เหมือนไม่ได้เที่ยวด้วยกันหน่ะซี แล้วนี่ขนาด11คนนี้ยังขวางลู่ขวางทางคนอื่นในสวนประจำ
แดดตอนนั้นร่มดีแล้ว อากาศไม่ร้อนกำลังพอดี ถึงแว่วเสียงฟ้าร้องก็เชื่อว่าคงขึ้นทันฝนปราย เสื้อผ้าผู้หญิงทุกคนก็ตระเตรียมเรียบร้อย เปียกได้สบายเพราะเราจัดแจงโทรบอกเองตั้งแต่คืนก่อนมา ทุกคนขี่จักรยานมาถึงครบครันเตรียมตัวพายเรือ แนตที่ตกลงใจมาร่วมทางด้วย ก็มาถึงที่กองเรือพอดี… หมายถึงเรือเป็นกองๆ ไม่ใช่กองทัพเรือนะ เราเองที่ได้เคยมาลองพายเล่นดูก่อนแล้วสองสามครั้งในเวลาแบบนี้ก็คิดว่าคงได้พาเพื่อนมาพายเรือสนุกแน่ และเมื่อกี้เองตอนที่ขี่ไปรับติ๊บ ก็เห็นมีคนพายเรือกันประปรายด้วยแดดจ้าเป็นปกติ

แต่ก็ต้องงงกับปัญหาที่ติดขัดอย่างเดียวที่เกิดขึ้นก็คือ พอมาถึงเขาก็ไม่เปิดให้พายซะแล้ว
เราก็เง็ง และทุกคนก็เลยบ้ามายืนกันบนเรือแล้วถ่ายรูปกัน เออ ก็ดี เรือไม่ได้พาย แต่ก็ถ่ายรูปกับเรือเว้ย ไม่เป็นไร ครั้งหน้าไว้กะเตงกันมาใหม่

ก็ลงบทสรุปที่ไม่ได้เตรียมล่วงหน้ามาว่า เราจะไปกันต่อที่ BigC ลาดพร้าว เพราะว่าจะได้เล่น ไอซ์สเกต…
เป็นการพักผ่อนที่สนุก แต่น่าหวาดเสียวสำหรับเรา ถึงจะเล่นได้ดีขึ้นแล้วในครั้งนี้ คือพอจะสลับเท้าเพื่อเลี้ยวได้คล่องขึ้น ผิดกับครั้งก่อนที่ต้องล้มไถลด้วยสเต็ปนี้ไปหกเจ็ดครั้ง จนเปียกไปทั้งตัวและปวดเมื่อยไป2วัน(วันพรุ่งนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเมื่อยเหมือนครั้งก่อนไหม) พูดไปแล้ว ติ๊บเล่นได้เก่งสำหรับครั้งแรก(หรือเปล่านะ) โพด้วยเก่งจัง คนอื่นๆก็เหมือนกัน ปิ๋มก็วิ่งได้เร็วมากแล้วทรงตัวเก่ง ส่วนตาล…เธอเป็นพระเจ้าสำหรับเรากันเอง พี่แกพยายามวิ่งถอยหลังไปแล้ว และเป็นแม่พระสำหรับน้องๆที่ตาลไปช่วยหัดฝึดให้ ดีจัง…

ออกมานั่งพักซักนานเหมือนกันก็กลับ …พ่อแก้วจะมารับแล้วที่เกษตร
ป๊อปที่มีรถขับเป็นที่สะดวกก็เลยพาไปส่งที่เกษตร และตกลงใจกัน(ซึ่งบางคนก็ยินดีอยากไป มีบางคนยังไงก็ได้ และมีบางคนอยากไปกินพิซซ่ามากกว่า แต่ไม่เป็นไร) ว่าจะไปกิน Sizzler กัน

ระหว่างเดินทาง เรารู้สึกว่าตัวเองจะติ๊งต๊องเป็นพิเศษ เพราะเหนื่อย หรือเพราะอยู่กับเพื่อน หรือเพราะ..? 
พอไปถึงตึกSCBเป็นกลุ่มแรกก่อน ที่จริงแทนที่เราน่าจะไปจองอาหารกันไว้ก่อน แต่ก็คงเพราะว่าครั้งก่อนมากันเป็นยี่สิบคนโดยรอแค่เพียงแปปก็ได้กิน เราก็ฉุกใจคิดได้ว่าเมื่อวันนั้นมันเป็นวันธรรมดาไม่ใช่เสาร์อาทิตย์แล้วบอกไป แต่ด้วยอะไรเราก็ลืมไปเหมือนกันที่ทำให้ทุกคนไม่ได้ไปจองเหมือนเดิมแต่จะรอให้อีกกลุ่มมาถึงก่อน

กลุ่มเรานั่งกันอยู่ตรงลานระหว่างตึก SCB สองตึกคือ West กับ East แสงไฟไสวจากตึกติ๊บบอกว่าสวยดี เลยถ่ายรูปกันไปนิดหน่อย ที่จริงเราก็ว่าไม่ได้สวยมากนัก แต่มองไปก็ว่าสวย แล้วแต่จะมอง มองไปอีกทีดูโรแมนติดด้วยเหมือนกัน ถ้าได้นั่งกับคนรักกันสองคนบวกกันลมเย็นขึ้นอีกนิดคงดี
ว่าไป ช่วงนี้รู้สึกโรแมนติกมากขึ้น ฮา… เพราะเพิ่งอ่านปุชิตาจบ ? เพราะอะไรนะ ? แต่ที่จริงก็แค่รู้สึกอะนะ
บางคนบอกว่าเราไม่มีความโรแมนติกเลย บางคนบอกว่าเราโรแมนติกมาก เออ งงและตลกดี แต่ที่แน่ๆ รู้สึกว่าตอนนี้จะโรแมนติกได้จริงๆ ก็คงได้แต่ในฝัน ฮา… (ก็ไม่ซะทีเดียว)

นอกจากถ่ายรูปแล้วพวกเราคือ โพ เตี้ย เรา ก็สอนติ๊บเล่นตุ่ย (หรือเลี้ยบตุ่ยชื่อเต็ม) แต่ดูจะไม่ work เท่าไหร่ และติ๊บเองก็ดูไม่สนุกเท่าไหร่ด้วย ฮา… สอนไปก็โพกับบิ้วก็ชอบแหย่ติ๊บตลอดว่า ฉลาด! (ที่จริง เราด้วยนิดหน่อย) ที่ติ๊บดูจะไม่เข้าใจเท่าไหร่เลย

พูดถึงคนในกลุ่มที่ไปกันในวันนี้ก็จะมีแนวทางคำที่ถูกแหย่เสมอ อย่างเช่น…
บิ้วก็นี่จะเป็นอะไรที่ หล่อ! และเป็นพระเอกมิวสิกเสมอ แถมรายละเอียดอีกมากที่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
โพ(ที่จริงก็บิ้วด้วย) ก็คือตัวกระซวกดีๆนี่เอง
แก้ว ก็แมนแท้
แนต ก็จะโดนประมาณว่า เอ๋อๆ เสมอ แม้บางทีก็ไม่เอ๋อซะหน่อย
ติ๊บ ก็ฉลาด!เสมอ แม้บางที… (เหมือนกับที่เขียนของแนต)
เราเอง ก็ดูจะติ๊งต๊องบ๊องบ้าบอ หลุดโลกเหมือนคนจิตหลุด ซึ่งให้ตายเถอะ เราเองคงต้องบอกว่า เรายอมรับว่า เราไม่มี “แม้บางที…” แก้ตัวให้ตัวเอง ฮา…

เดินเล่นๆ แล้วก็ได้กินกันซักที เป็นมื้อที่รู้สึกเสียดายเงินสำหรับอาหารเกือบห่วยอีกครั้งเพราะปลาไม่อร่อยเลย โดยเฉพาะโค้กRefillที่จะสั่งกันมาทำไมสี่ห้าแก้วต่อโต๊ะ (แก้วเดียวก็เกินพอ!) แถมเราเล่นบ้าบออะไรก็ไม่รู้กับมุกที่งี่เง่าที่สุดในชีวิต ไม่เคยเล่นอะไรแบบนี้มาก่อน “สลัดรัก” แป๊ะชะแบ๊ะแงะไรของเรา ห่วยกระด๋อย เห่ยระเบิด

แต่ก็เหมือนทุกทีเลย พอนึกถึงการได้มานั่งกินกันคุยกัน…
ในวันนี้ ซึ่งที่จริงก็เป็นวันธรรมดาๆที่เราได้มาเที่ยวกับเพื่อนๆธรรมดาๆแบบนี้ 
เราก็ไม่เสียดายเงินเท่าไหร่หรอก ไม่เสียดายเลย

ควันหลง (ที่เกิดจากไอระเหยของน้ำตา)

ความในใจเอ่อล้นในใจความ
ในทุกยามนานเท่าไรนึกใจหวน
ภาพซ้อนภาพซ้อนทรงจำใจคร่ำครวญ
คิดทบทวนความหลังหลั่งน้ำตา

เคยนั่งเรียนเขียนอ่านอาจารย์บ่น
เคยนั่งซนไม่สนการศึกษา
เคยนั่งหลับทุกเช้าล่วงเวลา
เคยนั่งด้วยกันมาสิบสองปี

หากต้องห่างจากไกลเพียงกายไกล
ใจผูกไว้ที่เดิมที่แห่งนี้
ที่แห่งรักที่แห่งน้ำมิตรไมตรี
ที่ร่วมมีรอยยิ้มแห่งวันเยาว์วัย

วันขำขำวันเครียดเครียดวันทอดหุ่ย
วันลุยลุยกีฬาสีสุดสดใส
วันหรูหรูประจำปีเต้นกันไป
วันทุกวันผ่านไปใจผูกพัน

นึกย้อนวันปัจฉิมชิมรสเศร้า
เพื่อนของเราครูอาจารย์ต่างผ่านผัน
“เวลาเดินเร็วเกินไปอย่างไรกัน”
คำตอบนั้นพลันหลั่งไหลลงมา

น้ำตาแห่งน้ำใจและน้ำมิตร
น้ำตาแห่งความคิดคำนึงหา
น้ำตาหลั่งรินไหลร่วงโรยมา
แทนสัญญาว่าเราไม่ลืมกัน

คืนนี้ต่างคนต่างนั่งโดดเดี่ยว
ดูเปล่าวเปลี่ยวหากพร้อมเพรียงได้เพียงฝัน
พร่งนี้เช้าไม่มีแล้วที่เจอกัน
วันหน้าหากมารวมกันฝันเป็นจริง

ผมรู้สึกรักเพื่อนๆ ทุกคนมากๆ
รักอาจารย์ที่อุตส่าห์สอนผมมา มากๆ
รักโรงเรียนสาธิตเกษตรจริงๆ
แม้เป็นสิ่งที่แน่นอนว่า เมื่อเวลาผ่านไป เราก็จะต้องห่างกันไป
แต่เราไม่ทิ้งกัน

ขอให้เจอกับสิ่งที่ดีๆนะ

– 1 –
“กูรักมึงโว้ย…”  “กูรักมึงโว้ย…”  เสียง 2 เสีงดังขึ้นพร้อมกัน
“กูวางแล้วน้า…” ผมพูดก่อนย้ำประโยคเดิม
“กูรักมึงโว้ย…”

“ตืด  ตืด  ตืด  ตืด  ..”  เมื่อได้ยินแล้ว ผมจึงวางหูโทรศัพท์
นั้น, เป็นประโยคสุดท้ายที่ผมกับเพื่อนของผมพูดกันผ่านสายโทรศัพท์
เวลานั้นประมาณตี 2 กว่าแล้ว
ผมถอดแว่น
นอนหลับ
ไม่ฝัน

พรุ่งนี้เวลา 16.00 น. จะเป็นกำหนดการที่เครื่องบินลำหนึ่งจะแยกเส้นทางชีวิตของผมกับเพื่อนคนนี้ ออกไปสู่ประเทศอเมริกาที่กว้างใหญ่อย่างไม่มีกำหนดเวลากลับ

– 2 –
ผมกับฮุสนี่ ไม่เคยรุ้จักกันมาก่อนจนกระทั่งขึ้น ม.2
ตัวผมอาจจะเคยแว่วได้ยินชื่อแปลกๆว่า ฮุสนี่มาบ้าง  ตัวเขาอาจจะได้เห็นหน้าตอนผมเป็นหัวหน้าระดับ ป.6  แต่ก็ถือได้ว่าไม่ได้รู้จักกัน  เพิ่งจะมาจับคู่ ชื่อกับหน้า คู่นี้ได้ถูก  เวลาที่ได้อยู่ห้องเดียวกัน และได้คุยกันบ้าง ก็คือตอน ม.2

เมื่อขึ้นมา ม.3 เราได้อยู่ห้องเดียวกันอีกครั้ง ผมได้ฟังเสียงกีต้าร์จากมุมห้อง ม.3/2 ทางด้านหลัง ฝั่งใกล้หน้าต่าง ทุกๆพัก  เพลินดี  บางครั้งผมก็เข้าไปร่วมวงร้องเพลงบ้าง  เราได้ทำงานร่วมกันประปราย

แล้วอีกปีก็ผ่านไป ผมตัดสินใจไม่ไปเรียนเตรียมอุดม เราได้อยู่ ว เดียวกันในชั้นม.4 เราได้นั่งติดกัน ได้คุยกันมากขึ้น ผมคิดว่า เรากลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันช่วงเวลานี้นั้นเอง

ฮุสนี่ นั้นถือเป็นชายที่ได้รับการยอมรับจากคนทั้งระดับว่า เป็นสุภาพบุรุษ มีน้ำใจงาม และอ่อนโยน  ด้วยคุณลักษณะแบบนี้เองจึงทำให้เป็นที่รักของทุกคน  และเป็นที่กรี๊ดกร๊าดในหมู่หญิงสาวด้วย (รึเปล่า?)

ผมเองเห็นด้วย ทุกครั้งที่เรียนในแผน หากไปบอกคนนอก ใครจะเชื่อ ว่าผมมีลูกอดีตรัฐมนตรี คอยนวดหลัง คอยนวดหัว นวดแขน นวดขา นวดมือ ได้ไม่หยุด (ที่จริงเราตกลงกันว่าจะผลัดกันนวด ) เราได้คุยโทรศัพท์กันบ้าง ทำจรวดแป้งงานพาเหรดกีฬาสี เรียน… เที่ยว… มีเหตุการณ์มากมายที่ผ่านเข้ามา ทำให้ผมรู้สึกรักเพื่อนคนนี้มากขึ้นๆ
จนกระทั่ง “การออกเดินทาง” ได้ถูกกำหนด

ผมรู้สึกใจหาย
และเศร้า
แต่ก็รู้สึกดี…

ความเศร้านั้นมีอยู่หลายแบบ
บางครั้ง ผมเศร้า แล้วก็รู้สึกว่าต่อไปจะต้องตัวทำให้ดีขึ้น 
บางครั้ง เศร้า แล้วก็รู้สึกผิดหวังกับบางอย่างและไม่อยากกลับไปนึกถึงมันอีก
บางครั้ง เศร้าจนไม่อยากมีชีวิตต่อไป
แต่ความเศร้าในครั้งนี้ กลับทำให้… รู้สึกดี เพราะมันต่างแสนต่างการความเศร้าอื่นๆอย่างมากมาย ไม่มีใครทำอะไรผิด ไม่มีใครทำร้ายจิตใจใคร  ทุกคนต่างกำลังเดินทางไปสู่สิ่งที่ดีๆตามเส้นทางของตัวเอง
แม้มันคือจุดจบของช่วงความทรงจำที่เกิดขึ้นมาของผมกับเขา แต่มันกลับคือจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่กว่า
ผมรู้สึกเช่นนั้น

– 1 –
วันรุ่นขึ้น ณ หอประชุมจงรักษ์ไกรนาม  ผมกำลังนั่งสลึมสลืออยู่ในพิธีมอบเกียรติบัตร
รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่มาเตือนใจ 
ผมก้มลง และมองดูนาฬิกาข้อมือที่กำลังชี้เวลา 16.07 น.
“ไปแล้ว…”
เงยหน้ากลับมาเหมือนเดิม
รู้สึก ถึงลมหายใจ
 …

– 2 –
ผมคิดว่าผมไม่เคยรู้ตัวเลยสักครั้งว่า มิตรภาพของเพื่อนสนิทนั้นเกิดขึ้นตอนไหน และอย่างไร
อันที่จริง จะว่าไปแล้วก็ไม่เห็นจำเป็นต้องรู้
การได้มารู้ตัวที่หลังว่าเราเป็นเพื่อนสนิทกันแล้ว
แค่นี้ ก็แสนล่ำค่า
และแค่นี้ ก็ทำให้ผม ได้มีความสุข อย่างมากมาย

ปล.s (ต้องเติม S) 

  1. จากเวลาในเรื่องที่เขียน ฮุสนี่ ออกเดินทางไปเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2548 นะ
  2. วันนี้(13 ส.ค.) เพิ่งไป present งาน fat ที่สุดแสนจะฉุกละหุก เหนื่อยมากเพราะฝืนสังขารสุดๆกับร่างกายที่สุดจะอ่อนแอในตอนนี้ แต่ก็ออกมาดีนะ สนุก ขำๆ กรรมการขำไปด้วย มีหวังผ่านเข้ารอบ 5 ทีมสุดท้ายนะเนี่ย
  3. หนักใจกับสุขภาพและ วันสอบ สสวท.คอมโอลิมปิค รอบ 2 ที่ใกล้เข้ามาแล้วเหลือเกิน
  4. เออ เพิ่งเป็นพิธีกรวันแม่มา ผิดคิวไป 1 ครั้ง! อ๊ากก.. แถมไมค์ห่วยสุดๆ มีประโยคหนึ่งพูดเสร็จอาจารย์บอกให้พูดซ้ำเพราะคนดูไม่ได้ยิน  กลับลงมา มีแต่คนถามว่า พูดซ้ำทำไม
  5. พิธีกรงาน วันวิทยาศาสตร์ต้องพยายามพูดให้เจ๋งๆ (สุขภาพจะไหวไหมนะ)