ปิดเทอมนี้ รู้สึกเหนื่อยจัง

ปิดเทอมนี้ อาจจะเป็นปิดเทอมที่คล้ายๆ ปีสองปีที่แล้ว เพียงแค่ไม่มีค่ายโอลิมปิก
แต่สำหรับผมแล้ว รู้สึกว่าเป็นปิดเทอมที่เหนื่อยที่สุดเลย
สงสัยจะเป็นเพราะมีสิ่งที่ต้องทำ ด้วยความฝืนใจอยู่บ้าง

ผมไม่แน่ใจว่า คนส่วนใหญ่แล้ว ฝืนใจทำอะไรบ้างไหม อาจจะเยอะบ้าง น้อยบ้าง
แต่ผมรู้สึก ชีวิตเรานี่ไม่ต้องฝืนใจทำอะไรเท่าไหร่เลย
ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ ว่านี่ มันเป็นเรื่องดีหรือเปล่ากันนะ
ช่วงนี้ พอต้องฝืนใจอะไรนิดหน่อย เลยรู้สึกมากหน่อย

<14-16 และ 19 มีนาคม>
สอนโปรแกรม iLife เด็กในโครงการเซ็นทรัลบัณฑิตน้อย
เด็กที่สอนเป็น เด็กน้อยจริงๆ ครับ ประมาณ ช่วง อนุบาล 3 ถึง ประถม 3 เท่านั้นเอง
และความรู้สึกที่ได้จากการสอนวันแรก คือ
อยากตายครับ!

ผมอยากจะออกไปเลย ไม่กลับเข้ามายุ่งในห้องเล็กๆ ที่อยู่กับเด็ก เจ็ดแปดคนนี้อีก
เพราะไม่คิดเลยว่า เด็กวัยนี้มันจะพูดไม่รู้เรื่องขนาดนี้ ควบคุมไม่ได้ และยังไม่ฉลาดขนาดนี้ 555

มีเด็กอ้วนเกเร ที่หัวรุนแรง ชอบทำร้ายเพื่อน และจำบทพูดละครไม่ได้ซักที (ยาวประมาณครึ่งประโยค) น้องคนนี้ใช้หมอนตบแว่นผมหลุดเลย เจ็บมาก
มีเด็กผอม ง๊องแง๊ง ร้อง อ้าาาาาาาๆๆๆๆ ไม่จบ ไม่รู้เป็นไร
เจอแบบนี้ผมก็เลยรู้สึกเซ็ง อยากกระซวกไส้เด็กขึ้นมาสุดๆ (โปรดนึกภาพการ์ตูนโรคจิตDARKสุดๆ ของ ทรงศีล ทิวสมบุญ)

กลายเป็นไม่ต้องสอนหน่ะครับ เหมือนมาเลี้ยงเด็กมากกว่า
ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

แต่ก็ ok นะครับ วันท้ายๆ ผมก็รู้สึก ok ดีแล้ว มันเป็นประสบการณ์ที่แปลก+ดี
เอาเข้าจริงๆ ที่ผมคิดว่าเด็กเล็กขนาดนี้ควบคุมไม่ได้นั้น มันก็ต้องมีวิธีล่อหลอกที่ดี
เช่น “เอ้าาาาา เดี๋ยวเรามาตั้งคำถามอะไรเอ่ยกันดีกว่านะ” แล้วทุกคนก็จะหยุดความโกลาหล กลับมาพร้อมหน้ากันเลย
มีเรื่องติ๊งต๊อง ในวันท้ายๆ ที่ไปสอน
เด็กอ้วนโง่เกเรคนนั้น เอาแขนไปแตะโน้ตบุ๊ตแล้วโดนไฟช็อค เลยร้องออกมา “อุ้ย! ไฟฟ้าสะเด็ด”
หรือตอนที่ถามคำถามอะไรเอ่ยกัน ก็มี เด็ก ป.5 ที่โตโดดอยู่คนเดียว ถามขึ้นมาว่า “แล้ว ล. อะไรกินเลือด”
เด็กๆก็ทายไปกัน ลอลิง ลอโน้นลอนี้ ผิดๆๆๆๆๆๆ ผิดหมดๆ จนทุกคนยอม แล้วนึกภาพเด็ก อ.3-ป.3 แต่ละคนจ้องไปรอฟังคำตอบตาแป๋วนะครับ
และคำเฉลยก็คือ
“ลอริเอะ… ก็ลอริเอะกินเลือดไง”
แล้วห้องก็เข้าสู่โหมดเงียบ….

…ความรู้สึกที่ มีน้องๆ มาเกาะขากอดแขน ตะโกน”พี่อิ๊กๆๆๆๆ” นี้มันก็อดรู้สึกดีไม่ได้นะครับ
สรุปว่าผมก็ผูกพันกับไอ้เด็กน้อยเวรๆ ที่วันแรกทำเอาประสาทไปแล้วเหมือนกัน

<23 มีนาคม>
หลังจากไป Commart เป็นครั้งแรก กลับมาแล้ว ก็ไปเกษตรสโมสร
เป็นวันที่ได้ลองอะไรหลายๆ อย่างดี เป็นประสบการณ์ชีวิตครับ
ต้องงี้แหล่ะ มันต้องรู้ให้ครบว่าอะไรเป็นยังไง
ขอบคุณพี่เจดมาก มา ณ ที่นี้ ที่ช่วยมาส่งให้ถึงบ้าน เมื่องั้นผมคงย่ำแย่ครับ

<24 – 30 มีนาคม>
my first KUS Fun Camp! (ที่หมองหม่น)
กิจกรรมที่น้องๆ คิดขึ้นมานั้น น่าสนุกดีหลายกิจกรรมเลย ผมชอบมากๆ
แต่ก็มีโอกาสลงไปดูไปช่วยน้อย โดยเฉพาะช่วงหลังๆ
โคตรเศร้าเลยครับ
แต่ก็มันจำเป็นหนิ่เน่อะ อยากไปดูจังเล้ย
ถึงวันนี้ยังโศกอยู่ลึกๆ

<31 มีนาคม – 7 เมษายน>
ค่าย innovator ที่ผมรู้สึกว่า ผมเหนื่อยแสนสาหัสกับงานนี้มาก (แต่ก็คงเหมือนๆ กับทุกๆ คนที่ทุ่มเทกันแหล่ะนะ อืม…)
ผมก็ดีใจที่อะไรมันออกมาได้ดี
ก็ไม่รู้ว่า ผมมีส่วนช่วยอะไรแค่ไหนเหมือนกันนะครับ
ค่ายนี้เป็นค่ายที่พิเศษหลายๆ ทำให้ผมได้รับรู้ความรู้สึก ของที่หลายๆ คนคงได้พบเจอมานานแล้ว ว่ามันเป็นเช่นไร

<8 เมษายน>
ไปดู เงิน เงิน เงิน the musical ของ AF มาแหล่ะครับ
ไปดูที่พารากอน(เจอจันทรีที่พารากอนด้วย ฟลุ๊คจัง!) ตอนเข้างานเค้าให้มี ทำบัตร smart purse ด้วยครับ ตลกดี ตอนแรกกะจะไม่ทำแล้ะ แต่เห็นว่าฟรี เลยทำ 555

ตอนเข้าไปในโรง ก็พบว่า สถานที่ไม่ดีอย่างที่คิดเลย เป็นพารากอนซะเปล่า กว้างอย่างเดียว แต่ที่นั่งนั้นเป็นเก้าอี้ เรียงๆกัน ธรรมดาเป็นที่สุด
แถมมี แถวที่พื้นที่มันไม่ต่างระดับกับแถวหน้า ซึ่งทำให้โดนบัง(เซ็งเป็ด)ได้ …และแถวนั้นคือแถวที่ผมนั่ง เฮ…
และก็ มีคนมานั่งบังเซ็งเป็ดจริงๆครับ

แต่เหมือนฟ้าดลใจ จู่ๆ คนที่บังผมก็หายไปไหนไม่ทราบ หลังbreak เลยดูครึ่งหลังได้สบายใจมีความสุข
โดยรวมแล้ว ละครเรื่องนี้สนุกมากๆ แต่ผมชอบมากกว่า ทวิภพซะอีก อาจจะด้วยเพลงมั้ง เพลงเพราะจริงๆ
มีความสุขครับ

และมันก็เหมือน ฟ้าประทานมาอีกแล้ว!
นั้นก็คือ จากการที่ผมทำไอ้ บัตร smart purse นั่นไป ทางเค้าได้มีการสุ่มผู้โชคดี 3 คน!
และ 3 คนนี้จะมีสิทธิ ได้ไป meet & greet กับ เหล่านักแสดง AF มากมาย ว้าวววว!
แต่ ฟ้าท่าจะมึน เพราะผมเป็นคนที่ แทบไม่รู้จักใครใน AF เลย -_-”
คือ รู้สึกโชคดีมากๆ แต่ก็รู้สึกว่า เป็นโชคดีที่ถ้าคนอื่นได้ เค้าคงจะดีใจคุ้มว่าเราเป็นไหนๆ

แต่สรุปมันก็แค่ เข้าไป ถ่ายรูปๆๆ ยังไม่ได้ปราศรัยอะไรกันเท่าไหร่ก็ ออกๆๆๆ
ก็ ok ได้ meet & greet ซักครั้งในชีวิต

<9 เมษายน – ปัจจุบัน>
ค่าย Cubic-O ที่ปีที่แล้วได้เริ่มต้นขึ้น ก็มีคนมาสานต่อแล้ว โดยน้องน้ำฝน รู้สึกดีใจจัง
แต่ผมก็รู้สึกเสียดายมาก พอได้รู้ว่ามีน้องๆ พหุภาษาหลายคนมากมายที่ไม่สามารถเข้าค่ายได้ เพราะว่า ค่ายนี้ไม่ค้างคืน
ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่าจะจบด้วยความรู้สึกอะไร เพราะมันอีกนาน ค่ายนี้กินเวลาไปถึง เกือบสิ้นเดือนเลย
รู้แต่ว่า สอนแบบชิวกว่าปีก่อนมาก ไม่ค่อยเตรียมตัวเท่าไหร่ 555 (อย่าให้น้องเข้ามาอ่านเลย)

อืม…
มองความรู้สึกตัวเองตอนนี้
มองสิ่งที่ทำมาตลอดปิดเทอมนี้
ผมรู้สึกว่า มันหนักเกินไป… คิดว่าถ้ามีโอกาสจะต้องพยายามควบคุมอะไรให้มันไม่เกินไปแบบนี้
ผมรู้สึก อยากจะหยุดทำอะไรทุกอย่างมากๆ ขอเถอะ แค่พักสักสองสามวัน มันอาจจะทำให้ความเหนื่อยสะสมมันหายไป
นี่ไม่ได้พักเลย…

อยากจะได้ไป เที่ยวกับเพื่อนๆ บ้าง
วันนี้เจอ ป๊อป แวะมาโรงเรียน บอกว่าเที่ยวมามากมาย ได้ประสบการณ์อะไรเยอะมาก ก็รู้สึกอยากไปจริงๆ
ชีวิตด้านการงานมันเริ่มเกินสมดุลแล้วหน่ะครับ นั่งอยู่ตอนนี้ก็เหมือนมีอะไร โหยหวนอยู่ในใจตลอด
แต่ผมก็เข้าใจดี ถึงสิ่งที่ผมทำขณะนี้ ว่ามันเป็นทางที่เหมาะสมแล้ว ที่ผมเลือก เมื่อคิดจาก อนาคตอันใกล้และอันไกล

ปล. ติดโครงการ JSTP แหล่ะ เดี๋ยววันที่ 23-28 เมษานี้ จะได้เข้าค่าย จะเป็นนักวิจัยแล้วเฟ้ยยย

บันทึกวันว่าง

รู้สึกดีอยู่ลึกๆ รู้สึกได้รำลึกวันเดิมๆสมัย ม.3 ทำบ่อยๆ
ผมชอบวันของการเอ้อระเหยลอยชายมากๆเลยครับ

วันนี้ตื่นขึ้นมาตอน บ่าย2 แล้วก็อ่านหนังสืออ่านเล่น อ่านเรื่องที่ค่อนข้างมีสาระจนไม่เหมือนหนังสืออ่านเล่นเลย 555 มันชื่อว่า “โลกร่วมสมัย – ตอบคำถามคนรุ่นใหม่” ที่ยืมมาจากรตา เป็นหนังสือที่ดีนะครับ ก็คือหนังสือเล่มนี้พยายามอธิบาย “เวทีโลก” ร่วมสมัยนั้นเอง ซึ่งเค้าก็ได้ให้พื้นหลังเหตุการณ์ร่วมสมัยนี้มาด้วยตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 16 และมันเริ่มเน้นตั้งแต่ สงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงปัจจุบัน

อ่านจนตกเย็น

เปิดคอมพิวเตอร์มาเรื่อยเปื่อย ลองใช้โปรแกรมในชุด Studio8 กลับไปอ่านหนังสือต่อ ไปๆมาๆ เอาไพ่มาฝึกร่อนเป็นครั้งแรกที่บ้าน คุยกับพี่… ระหว่างทำทุกอย่างนี้ มีการกินประกอบไปด้วย

สรุปง่ายๆ ผมทำตัวแสนสบายเหมือนไม่รู้ตัวว่ากำลังอยู่ท่ามกลาง หมอกควันของการบ้านแสนทึบทึม ที่บดบังการเตรียมตัวสอบปลายภาคอยู่นั้นเอง 555

คือ…ผมต้องการการฟื้นฟูตัวเองหง่ะ  หากให้หาคำมาอ้าง คงต้องบอกไปแบบนั้น  สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงสัปดาห์ที่ผมหลับในห้องเรียนบ่อยมาก จนเสียการเรียนไปคาบแล้วคาบเล่า… รู้สึกเหมือนกับพลังงานในร่างกายมันกลวงๆ เหมือนต้องการการพักผ่อนแบบเต็มสตรีม แหะๆ

นึกๆไป คงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเด็กมัธยม 6 ที่จะรู้สึกเหนื่อย  โดยเฉพาะคนที่กำลังวิ่งตามความฝันที่ดูไม่ง่ายนัก (และก็หวังว่ามันจะไม่ยากเกินเอื้อม)

ผมเอง ไม่รู้ว่าเค้าเหล่านั้นรู้สึกอย่างไร เพราะผมไม่ได้อยู่ในจำนวนคนเหล่านี้  ผมคิดว่า ผมเป็นคนที่หวังแค่ในเรื่องใกล้ๆตัว ไปเรื่อยๆ ผมไม่ได้มีจุดหมายที่ยาวไกล

แต่สำหรับเค้าเหล่านั้น ผู้ซึ่งอาจเป็นเพื่อนๆในระดับ ม.6 ของผมเองหรืออาจเป็นคนอื่นๆที่ผมแคร์  หากว่ารู้สึกเหนื่อย รู้สึกเหมือนถูกกดดัน และทุกข์ใจอยู่  ผมขอยกเนื้อเพลงหลายท่อนนี้ให้

 “เดินขึ้นภูเขา ใช่มองแต่จุดหมาย
 เมฆหมอกดอกไม้ก็ใกล้กัน
 สิ่งที่สวยงาม เกิดขึ้นทุกวัน
 สำคัญที่เราได้หันไปมองดู

ชีวิตไม่เคยมีทางตัน
 มันอยู่ตรงจะเห็นเป็นมุมใด
 ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
 สุขมันอยู่ข้างในทุกตัวคน”

เพลงนี้ชื่อว่า “แง่งาม” แต่งเนื้อโดยประภาส ชลศรานนท์ ผมชอบมาก ใครลองหาจากอินเตอร์เน็ตฟังดู
ประภาสเป็นคนที่แต่งเพลงที่ใช้คำง่ายๆให้เป็นบทกวี
ชีวิตเราคนหนึ่งนั้นสามารถเปรียบได้เหมือนเส้น (ตามคอนเซปท์ของ Zentralise) ตัวเราเป็นจุดที่เดินไปตามเส้นทางชีวิตเส้นนี้ และมีจุดมุ่งหมายแห่งความฝันที่กำหนดว่าจะต้องเดินทางไปให้ถึง

ผมเชื่อ  การมุ่งไปสู่จุดหมายเป็นสิ่งที่ดี แต่ “ระหว่างทาง” นั้นสำคัญไม่แพ้กัน
ถ้าเราละสายตาจาก จุดมุ่งหมายมาบ้าง คงจะพบกับความสุขที่อยู่ใกล้ตัว
ในหนึ่งชีวิต เราพบเจอ “ระหว่างทาง” มากกว่า “จุดมุ่งหมาย” เสมอ

วันนี้เป็นวันที่ว่างสบาย…
และตอนนี้ผมรู้สึกง่วงมาก…
ส่วนก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกเหงา…
ที่จริงแล้วผมเหงาบ่อยๆ

บางครั้งการเขียนอะไรซักอย่างช่วยให้หายเหงาได้
ที่จริง ที่ผมเหงา ก็เพราะว่า…