วันวาเลนไทน์ครั้งแรก

“โตขึ้น ก่อนจบ ม.6 เราจะต้องมีแฟนให้ได้ หึหึ ได้อยู่แล้ว” เด็กประถมคนนึงคิดขึ้น ระหว่างที่เห็นพี่ตัวโตเดินด้วยกันมาเป็นคู่ 2 คน

วันนี้  อีก 3 วันจะจบ ม.6 แล้ว
ผมไม่เคยมีแฟนเลยครับ ฮา… แต่ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยผมก็เคยมีความรัก และยังมีอยู่แม้ในขณะนี้

วันวาเลนไทน์ทุกๆ ปีที่ผ่านมาถ้าพูดถึงตอนยังเป็นเด็กตัวจ้อยนั้น มันไม่มีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ จะเริ่มมารู้สึกตัวก็คงในปีที่เริ่มมีดอกกุหลาบฟ้าคะนองกระจายไปตามพื้นที่ของระดับ ในช่วงนั้น วันวันนี้จะเป็นวันที่ผมรู้สึกตื่นเต้น บางครั้งก็ลุ้นๆ ครับ ผมจำไม่ได้ว่าจะตื่นเต้นและลุ้นไปเพื่ออะไร

บางทีความรักของคนอื่นอาจจะพลอยแผ่ไอความสุขออกมาให้เราพลอยตื่นเต้นไปด้วย…
อย่างไรก็ตาม ทุกปีที่ผ่านมา วันแห่งความรักนี้ ไม่เคยเป็นวันแห่งความรักของผมบ้างเลย

วันนี้ผมให้ของขวัญวันวาเลนไทน์กับผู้หญิงคนหนึ่งไป เป็นของที่ทุ่มเทกับมันมาก ตั้งแต่ออกแบบ ทำเวกเตอร์ เลื้อยแผ่นไม้ เกลา ตัดด้วยเลื้อยไฟฟ้าในส่วนโค้งลึก ขัดด้วยกระดาษทรายเก็บรายละเอียด ระบายสี ซื้อเชือกแขวน ให้สว่านเจาะรูแขวน และขั้นสุดท้ายที่ยากไม่ใช่น้อย ก็คือ นำมามอบให้กับผู้หญิงคนนี้นี่เอง 

ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้เท่าไหร่ครับ บางวันผมทำจนหลับไปเลย ผมคิดว่างานที่เกิดขึ้นด้วยแรงบันดาลใจนั้น ไม่เคยทำให้ล้า แต่ยังมีความสุขอีกด้วย

วันนี้ผมได้เดินไปโรงอาหารด้วย แม้วันอื่นก็เดินไปแต่วันนี้…   ไม่มีอะไรครับ ฮา…
อย่างที่ว่าไป ถึงจะไม่เคยมีแฟน แต่ผมก็มีความรัก
และก่อนจบ ม.6 นี้
ผมก็มีวันวาเลนไลน์ครั้งแรก วันแห่งความรักของผมแล้วครับ

ปล. มันดูเป็นเรื่องเล็กเน่อะครับ

ขอแค่แรงบันดาลใจ

เริ่มจะเข้าที่เข้าทางแล้ว!

ตอนนี้มีความกระตือรือร้นที่จะทำการบ้านแล้ว
หลังจากที่เกือบจะติด ร วิชาฟิสิกส์ และวิชาอังกฤษ
กราบขอบพระคุณอาจารย์ไว้อย่างสูง

ตอนนี้มีอารมณ์ที่จะเขียนโปรแกรมแล้ะ
หลังจากแข่งเขียนโปรแกรมแล้ว ผลออกมาแพ้ไปอย่างน่าสงสาร แต่ตลกดี

ใช่แล้วหล่ะ วันนี้ไปแข่งเขียนโปรแกรมที่เตรียมมา แพ้หน่ะเลยออกมาเร็ว สนุกดี กติกาเหมือนเล่นเกมเลย แต่ที่สำคัญ ได้ไปดูเวทีเดินแฟชั่นโชว์ของโรงเรียนเค้าด้วย เราก็ไม่รู้จักใครนอกจากมีนอะนะ รู้สึกว่ามีนสวยและน่ารักมากๆ (upรูปไว้ให้ดู) วันนี้ผ่านไปอย่างสบายๆ…

ตอนนี้ แรงใจกำลังมาแล้ว ไม่รู้มาจากไหน อาจจะเพราะว่าเกือบติด ร กับแพ้เขียนโปรแกรม หรือเพราะได้ดูมีน!(ไม่ใช่หล่ะ) รู้สึกดีจริงๆที่มีกำลังใจแบบนี้

ครั้งนี้เขียนสั้นๆเพราะอยากไปทำการบ้านแล้ว 555

เป็นแบบนี้ทุกเรื่องมาตลอดเลย
ไม่ว่าเรื่องอะไร…
เราก็มักจะสลับกันไปมาระหว่าง หมดแรง กับฮึดสู้
แรงบันดาลใจ ทำให้เราทำในสิ่งที่เราไม่คิดว่าเราจะทำได้มาเสมอ

เอาเถอะ ก็ดีนะ ที่ตอนนี้แรงเขียนโปรแกรมกำลังมา

บันทึกวันว่าง

รู้สึกดีอยู่ลึกๆ รู้สึกได้รำลึกวันเดิมๆสมัย ม.3 ทำบ่อยๆ
ผมชอบวันของการเอ้อระเหยลอยชายมากๆเลยครับ

วันนี้ตื่นขึ้นมาตอน บ่าย2 แล้วก็อ่านหนังสืออ่านเล่น อ่านเรื่องที่ค่อนข้างมีสาระจนไม่เหมือนหนังสืออ่านเล่นเลย 555 มันชื่อว่า “โลกร่วมสมัย – ตอบคำถามคนรุ่นใหม่” ที่ยืมมาจากรตา เป็นหนังสือที่ดีนะครับ ก็คือหนังสือเล่มนี้พยายามอธิบาย “เวทีโลก” ร่วมสมัยนั้นเอง ซึ่งเค้าก็ได้ให้พื้นหลังเหตุการณ์ร่วมสมัยนี้มาด้วยตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 16 และมันเริ่มเน้นตั้งแต่ สงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงปัจจุบัน

อ่านจนตกเย็น

เปิดคอมพิวเตอร์มาเรื่อยเปื่อย ลองใช้โปรแกรมในชุด Studio8 กลับไปอ่านหนังสือต่อ ไปๆมาๆ เอาไพ่มาฝึกร่อนเป็นครั้งแรกที่บ้าน คุยกับพี่… ระหว่างทำทุกอย่างนี้ มีการกินประกอบไปด้วย

สรุปง่ายๆ ผมทำตัวแสนสบายเหมือนไม่รู้ตัวว่ากำลังอยู่ท่ามกลาง หมอกควันของการบ้านแสนทึบทึม ที่บดบังการเตรียมตัวสอบปลายภาคอยู่นั้นเอง 555

คือ…ผมต้องการการฟื้นฟูตัวเองหง่ะ  หากให้หาคำมาอ้าง คงต้องบอกไปแบบนั้น  สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงสัปดาห์ที่ผมหลับในห้องเรียนบ่อยมาก จนเสียการเรียนไปคาบแล้วคาบเล่า… รู้สึกเหมือนกับพลังงานในร่างกายมันกลวงๆ เหมือนต้องการการพักผ่อนแบบเต็มสตรีม แหะๆ

นึกๆไป คงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเด็กมัธยม 6 ที่จะรู้สึกเหนื่อย  โดยเฉพาะคนที่กำลังวิ่งตามความฝันที่ดูไม่ง่ายนัก (และก็หวังว่ามันจะไม่ยากเกินเอื้อม)

ผมเอง ไม่รู้ว่าเค้าเหล่านั้นรู้สึกอย่างไร เพราะผมไม่ได้อยู่ในจำนวนคนเหล่านี้  ผมคิดว่า ผมเป็นคนที่หวังแค่ในเรื่องใกล้ๆตัว ไปเรื่อยๆ ผมไม่ได้มีจุดหมายที่ยาวไกล

แต่สำหรับเค้าเหล่านั้น ผู้ซึ่งอาจเป็นเพื่อนๆในระดับ ม.6 ของผมเองหรืออาจเป็นคนอื่นๆที่ผมแคร์  หากว่ารู้สึกเหนื่อย รู้สึกเหมือนถูกกดดัน และทุกข์ใจอยู่  ผมขอยกเนื้อเพลงหลายท่อนนี้ให้

 “เดินขึ้นภูเขา ใช่มองแต่จุดหมาย
 เมฆหมอกดอกไม้ก็ใกล้กัน
 สิ่งที่สวยงาม เกิดขึ้นทุกวัน
 สำคัญที่เราได้หันไปมองดู

ชีวิตไม่เคยมีทางตัน
 มันอยู่ตรงจะเห็นเป็นมุมใด
 ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
 สุขมันอยู่ข้างในทุกตัวคน”

เพลงนี้ชื่อว่า “แง่งาม” แต่งเนื้อโดยประภาส ชลศรานนท์ ผมชอบมาก ใครลองหาจากอินเตอร์เน็ตฟังดู
ประภาสเป็นคนที่แต่งเพลงที่ใช้คำง่ายๆให้เป็นบทกวี
ชีวิตเราคนหนึ่งนั้นสามารถเปรียบได้เหมือนเส้น (ตามคอนเซปท์ของ Zentralise) ตัวเราเป็นจุดที่เดินไปตามเส้นทางชีวิตเส้นนี้ และมีจุดมุ่งหมายแห่งความฝันที่กำหนดว่าจะต้องเดินทางไปให้ถึง

ผมเชื่อ  การมุ่งไปสู่จุดหมายเป็นสิ่งที่ดี แต่ “ระหว่างทาง” นั้นสำคัญไม่แพ้กัน
ถ้าเราละสายตาจาก จุดมุ่งหมายมาบ้าง คงจะพบกับความสุขที่อยู่ใกล้ตัว
ในหนึ่งชีวิต เราพบเจอ “ระหว่างทาง” มากกว่า “จุดมุ่งหมาย” เสมอ

วันนี้เป็นวันที่ว่างสบาย…
และตอนนี้ผมรู้สึกง่วงมาก…
ส่วนก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกเหงา…
ที่จริงแล้วผมเหงาบ่อยๆ

บางครั้งการเขียนอะไรซักอย่างช่วยให้หายเหงาได้
ที่จริง ที่ผมเหงา ก็เพราะว่า…

ชัยชนะของการนำเสนอ ค่ายสาธิตคิดสร้างสรรค์

“แล้วเราจะได้พบกันอีกครั้ง”
“อย่างแน่นอนค่ะ”
“ขอบคุณครัาบ/ค้า…”

สิ้นเสียงคำแนะนำจากกรรมการท่านสุดท้าย  ผมเดินออกมาจากจุดนำเสนออย่างมาดมั่น ความรู้สึกบอก อยากจะชูกำปั้นขึ้นไปพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง มันผ่านไปอย่างสมบูรณ์แบบ… เราชนะแล้ว
นี้…คือความรู้สึกที่ผมไม่มีวันลืมได้เลย

โครงการกรุงไทย ยุววาณิช เป็นโครงการประกวดโครงงานธุรกิจระดับมัธยมตอนปลาย ซึ่งชมรมวิชาการนักเรียนสาธิตเกษตรของเรา ส่งโครงการค่ายสาธิต คิดสร้างสรรค์ครั้งที่2 ไปประกวด

…วันนั้น… ผมดีใจมาก ตั้งแต่ได้รู้ว่า ด้วยฝีมือการเขียนรายงานของเหล่ารุ่นพี่ ทำให้ค่ายสาธิต คิดสร้างสรรค์ครั้งที่2 ผ่านเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายจาก 1305 ทีมทั่วประเทศ และ จะได้รางวัลมาแน่นอนอย่างน้อย 2 แสนบาทเลยทีเดียว

แต่ศึกครั้งต่อไปนี้ ใหญ่หลวงยิ่งนัก!
การนำเสนอโครงการค่าย ต่อหน้ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จะเป็นตัวตัดสินพวกเรา
และเราต้องการผู้เสนอ 3 คน

เนื้อหา และวิธีการนำเสนอ เริ่มต้นร่างขึ้นมา แล้วมองหาบุคคลที่เหมาะสม  และบางทีก็เล็งใครที่เข้าท่า แล้วจึงหาวิธีการนำเสนอที่เข้ากับเขาคนนั้น
ด้วยคุณลักษณะที่เหมาะสมของผู้นำเสนอ  แม้ผมรู้ตัวเองว่าอยากทำ เสียงในใจก็บอกกลับมาว่า งานใหญ่แบบนี้คงเสี่ยงเกินไปสำหรับผม

การคัดเลือกนั้น เริ่มต้นด้วยตัวเลือกที่มากมาย ค่อยๆคัดหาคนที่ผ่านเกณฑ์  บางคนไม่เหมาะตรงนั้น ไม่เหมาะตรงนี้  บางคนไม่สะดวกใจที่จะทำ… จึงต้องหาคนอื่นมาแทนที่ กลับไปกลับมา

ลงท้ายแล้ว  เมื่อวันที่พี่นัทโทรศัพท์มาถามว่า okไหมถ้าจะเป็นคนนำเสนอ
ความเสี่ยงที่ผมกังวลก็กลายเป็นประเด็นรองไปเสีย เรื่องไม่มีเวลาทำการบ้านยิ่งไม่ต้องนึกถึง ผมคิด หากเขาวางใจพอที่จะมาถามผมแบบนี้แล้ว โอกาสที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ ผมไม่มีทางทิ้งมันไป…

“ถ้าบอกมา ผมก็พร้อมจะทำอยู่แล้วครับ”

การซ้อมบทของเรา3คน – รตา พี่โม ผม  – เริ่มต้นตั้งแต่…

วันอาทิตย์ที่ 10 ตกเย็นก็ซ้อมต่อที่บ้านพี่ป่าน และผมค้างคืนที่นั้น ปรับบทใหม่เพื่อความกระชับจนถึงตี 2 แล้วไม่ไหวให้พี่ป่านทำต่อ

วันจันทร์ ปรับบทเสร็จสิ้น

วันอังคาร ผมโดดเรียนอาจารย์จิ อัดVDOนำเสนอ และซ้อมบทต่อไป กลับถึงบ้านตอน 4 ทุ่มครึ่ง 

วันพุธ ผม แก้ว โอ๊ต และน็อต ทำหัว Kupo! จนถึง 1ทุ่มโดยมีพี่ป่านคอยดูแล แล้วซ้อมบทกับรตาทางโทรศัพท์ประมาณ 1 ชม.ตอนดึก ในวันนี้บทของเราได้ถูกปรับเปลี่ยนไปอีกประมาณ 3 รอบ   

วันพฤหัส ผมโดด รด. เดินทางไปตึกธนาคารกรุงไทยที่สุดแห่งความอลังการ และซ้อมบทต่อไป ไสลด์ประกอบที่ทำด้วยFlashโดยพี่นัทนั้นทำเสร็จไปเกินครึ่งแล้ว ผมและรตาตัดสินใจค้างคืนต่อที่แมนชั่นเพื่อจะได้มีเวลาซ้อมบทกับพี่โมตอนกลางคืน วันนี้ผมได้ทานPizza Hut กับอาจารย์สุมาลีด้วย ตกกลางคืนเราพบว่าบทต้องมีการปรับอีกมากเลยทีเดียว ผมกับพี่โมวางแผนว่าเราจะใส่ส่วนที่ต้องเพิ่มเติมตรงไหนอย่างไร และเข้านอนตอนตี 1

วันศุกร์แล้ว… วันนี้เป็นวันจริงที่เราต้องนำเสนอ หากแต่บทนั้นยังไม่เสร็จ เมื่อเดินทางด้วยรถไฟฟ้าไปลงทะเบียน ทานอาหารเช้า แล้วไปช่วยจัดนิทรรศการจนถึง 9 โมงครึ่ง เวลาที่จะต้องนำเสนอคือตอนบ่ายโมงแล้ว เราต่างรู้สึกว่ามันไม่พร้อมเอาซะเลย บทยังไม่สมบูรณ์ ท่องยังไม่คล่อง อย่างไรก็ตามเรา3คนลงมือเขียนบทที่เพิ่มเติมและซ้อมโดยทันที

อาจารย์ดารณีมาฟังการนำเสนอที่ยังกระท่อนกระแท่นตอน 11โมงครึ่ง และให้คำแนะนำเพิ่มเติม เกี่ยวกับเนื้อหา มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย…

เหลือเวลาอีก ชั่วโมงครึ่ง… เราซ้อมกันต่ออีก ก่อนจะถึงเวลาจริง เพื่อให้มีความมั่นใจมากขึ้น โดยไม่สนว่าจะทำให้เหนื่อยก่อนถึงเวลาจริงหรือไม่ รตากับพี่โมเริ่มตื่นเต้นด้วยความที่รู้ตัวว่าไม่พร้อมอย่างที่มันควรจะเป็น  แต่…ผมไม่ได้คิดแบบนั้น

จบการซ้อมรอบที่ 3 …บ่ายโมงแล้ว
ทุกคนเดินเข้าไปที่ห้องสำหรับนำเสนอ
รตานั้นตื่นเต้นจนร้องไห้เลย พี่โมก็ตื่นเต้นมาก ทุกคนพยายามบอกให้ใจเย็นๆและไม่ตื่นเต้น แต่กลับผมไม่รู้สึกตื่นเต้นเลย ไม่รู้สิครับ ผมรู้สึกว่าเราทำได้ อย่างแน่นอน…

 และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

มันเป็นความสมบูรณ์แบบ เรียกได้ว่าไม่มีข้อบกพร่องใดๆจากการซ้อมครั้งไหนติดมาเลย เมื่อนำเสนอเสร็จ ผมยิ้มแป้นในใจ และเตรียมพร้อมรับการยิงคำถามจากคณะกรรมการ แต่ผิดคาด! สิ่งที่ได้จากกรรมการคือ คำแนะนำต่างๆที่จะต่อยอดขึ้นไป และคำบอกพร้อมจะเป็นผู้สนับสนุน กรรมการใหญ่ตบท้ายด้วยคำว่า “ทีมนี้ สุดยอด”

เมื่อเสร็จสิ้น และเข้าในห้องพัก แทบทุกคนร้องเย้ และกอดกัน ผมรู้สึกดีใจจริงๆ ดีใจจนล้นใจที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีอย่างมหัศจรรย์ บรรยากาศที่ทุกคนแสดงความยินดีต่อกันแบบจริงใจ และจริงจังแบบนี้ คงเป็นอะไรที่พบเจอได้ยาก ถ้าขาดความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ …ผมเองก็ซึ้งจริงๆนะครับ

เหนื่อยแล้ว… อาการปวดหัวที่จริงเริ่มขึ้นมาตั้งแต่ระหว่างนำเสนอ ผมรู้สึกหมดแรง คงเป็นเพราะพลังงานทั้งหมดถูกทุ่มลงไปในช่วงเวลา 30 นาทีสำคัญนั้น แต่ก็ยังคงเดินตามกลุ่มไปเลี้ยงฉลองล่วงหน้าการประกาศผล กว่าทุกคนเราจะมาลงเอยกันที่ Pizza Hut ก็ต้องเดินขึ้นลงตึกเพลินจิตพลาซ่าโดยที่ไม่ทำอะไร เดินตากฝนอยู่พักหนึ่ง ผมกินอิ่มแล้วก็ฟุบนอนไปพอตื่นขึ้นมาก็เดินอิ่มกลับโดยไม่ต้องเสียสตางค์

เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเวลาประกาศรางวัล แม้จะรู้สึกมั่นใจเต็มเปี่ยมหลังการนำเสนอ แต่ผมเองก็พยายามเผื่อใจเอาไว้อยู่ตลอดเวลาป้องกันอาการผิดหวังที่มันให้แต่ความเสียใจ
พิธีกรจะประกาศรางวัลชมเชย 8 รางวัล และค่อยประกาศรางวัลชนะเลิศ 2 รางวัล
“รางวัลชมเชย รางวัลที่ 1…” ผมจับมือกับพี่นัทและรตาที่นั่งอยู่ข้างๆกัน “ได้แก่……”
รู้สึกโล่งใจที่ไม่ใช่โรงเรียนสาธิตเกษตร

“รางวัลที่ 2… ที่3… ที่4… ที่5…” ทุกๆครั้งผมจะลุ้นสุดตัว แล้วก็โล่งใจสุดใจหลังประกาศว่ารางวัลชมเชยไม่ใช่ของเรา

“6… 7…” ถึงวินาทีสำคัญแล้ว ต่อไปเป็นรางวัลชมเชยรางวัลสุดท้าย ถ้าไม่ใช่ทีมเราก็แสดงว่าเราจะได้รางวัลชนะเลิศ!!
“รางวัลชมเชย รางวัลที่8 ได้แก่….”  นี้เป็นวินาทีที่ผมยังจำได้ชัดเจน ผมนึกภาพทุกภาพที่ทุ่มลงไปกับงานนี้

แล้วน้ำตา…ก็ซึมออกมา…

ผมรู้ตัวว่าผมเป็นแค่เปลือก
แม้ว่า การนำเสนอจะออกมาดีเท่าไหร่ การที่ได้รางวัลชนะเลิศนั้น คงผิดถนัดว่าถ้าคิดว่าทั้งหมดเป็นเพราะผู้นำเสนอ

การนำเสนอ เป็นเพียงปัจจัยสุดท้าย ของรางวัลชนะเลิศ
ทุกๆอย่างที่มาถึงตอนนี้ได้ เพราะแรงของทุกๆคน รุ่นพี่ เพื่อนๆ รุ่นน้อง
พี่นัท คือบุคคลสำคัญที่ทำให้เราเข้ารอบมาถึง ผมอยากจะคารวะ 20 จอก
แต่ถึงอย่างไร เป็นธรรมชาติเวลาใครที่ทุ่มเทกับสิ่งๆไหน ใจก็จะไปอยู่กับสิ่งนั้นด้วย
ผมก็เช่นกัน ใจของผมอยู่กับงานนี้อย่างเต็มหัวใจ

“ผู้ชนะเลิศธุรกิจด้านบริการ ได้แก่ ค่ายสาธิต คิดสร้างสรรค์ โรงเรียนสาธิตเกษตร”
ก็คงไม่มีอะไร แทนความดีใจนี้ได้ มันคือความสุข  ความสุขที่สุขล้น…

หลังจากนั้นก็คือบรรยากาศแห่งความยินดีปรีดา เราบอกต่อทุกๆคน ความสุขนั้นแพร่กระจายออกไป รตาคึกคักพูดไม่หยุด แต่ผมเหนื่อยเกินกว่าจะพูดตลอดเวลา ข้าวของทุกอย่างถูกเก็บ แล้วเราก็เดินทางกลับ ผมเดาว่าทุกคนคงเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้อีกนาน

หลังจากนี้ คนก็จะรู้จักชมรมวิชาการนักเรียนสาธิตเกษตรหรือ Cubic Creative มากขึ้น คนจะสนใจว่า นักเรียนกลุ่มนี้คือใครกันหนอ… มันเป็นสัจธรรม ถ้าคุณไม่ประสบความสำเร็จ ไม่หล่อ ไม่สวย ดูอัธยาศัยไม่ดี ก็ไม่มีใครสนใจจะรู้จักคุณ

ผมขอขอบคุณ อาจารย์ดารณี อาจารย์สุมาลี อาจารย์ประวิทย์ พี่นัท พี่ชยุตม์ พี่ปิง พี่ป่าน พี่โม พี่กิ๊ฟ และรุ่นพี่ทุกๆคน ขอบคุณ รตา แก้ว ปราณ โอ๊ต knot เตี้ย และเพื่อนๆทุกคน ขอบคุณรุ่นน้องทุกคน ขอบคุณโรงเรียน ขอบคุณพ่อแม่ที่เข้าใจ ขอบคุณทุกๆคำนี้ เมื่อผมเขียนถึงใคร ผมหยุดและนึกถึงเขาคนนั้น ผมขอขอบคุณจากใจจริงครับ ทุกคน

ความรู้สึกที่ดีจากทำงานแบบนี้…
“แล้วเราจะได้พบกันอีกครั้ง… ไหมนะ”

ปล. แปลกใจจริง ตอนเห็นแมงมุมตัวใหญ่วิ่งออกมาจากปราสาทโดมิโน พร้อมถุงไข่ข้างในซึ่งบรรจุลูกไว้เต็มพิกัดนับร้อย
ปล.2 ผมขอโทษทุกคนที่เสียดายหัว Kupo! ที่ทำกันมาใช้เวลาถึง 3 วัน แค่ผมคิดว่ามีโอกาสน้อยจะตายไปที่จะได้ทำอะไรให้โรงเรียนต่างจังหวัด เลยให้เขาไป ครั้งหน้าอย่าปล่อยให้ผมทำคนเดียวเลย ทำอีกไม่กี่วันก็ได้ อีกหัวแล้ว…
ปล.3 จากงานนี้ก็ทำให้รู้ว่า เมื่อผมขาดน้ำตาลจะทำให้สมรรถภาพในการคิด การตอบสนองต่ำลง สามารถแก้ได้โดยกินของหวาน เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ ครึ่งชม.ก็จะดีขึ้น

กีฬาสี ปี48

วันนี้ได้ดู รุ่นน้อง ม.5 ทำกีฬาสีแล้วก็สุดจะประทับใจจริงๆ
เรียกได้ว่าดูแล้วขนลุกซู่ 555
สุดยอด!!!!!!… โดยเฉพาะสีฟ้าและสีเหลือง

ลองมาคิดดูเปรียบเทียบกับ พาเหรดของสีชมพูที่ได้ที่ 1 ปีที่แล้ว(ซึ่งเราก็ได้ร่วมทำด้วย แหะๆ) ก็ไม่แน่ใจว่าใครเจ๋งกว่ากัน
แต่ก็นะ ทั้งสถานที่ ทั้งระบบเสียง ทั้งระยะเวลาเตรียมงาน ทั้งเป้าหมายในการทำ ปีนึงเป็นปีทำพาเหรด อีกปีทำการแสดง..
ก็คงจะไม่สามารถมาเปรียบเทียบกันได้นะ
แต่เราก็ขอย้ำว่าประทับใจจริงๆ ทั้งสีฟ้า สีเหลือง และสีชมพู(ปีที่แล้ว)

แต่พอเห็นรุ่นน้องทุ่มเทขนาดนี้แล้ว ก็รู้สึกโหวงๆขึ้นมาเหมือนกัน
เรียกได้ว่า เราคงถือว่าทำงานได้เพียงเสี้ยวเลยหล่ะ ของกีฬาสี
เสียดายโอกาสที่เสียไปจริงๆ…

พูดถึงช่วงนี้นั้น เป็นสัปดาห์ก่อนสอบ ซึ่งปกติเราจะเคลียร์งานค้างที่กองอยู่เต็มไปหมดได้หมด
แต่ว่า ปีนี้มันพิเศษตรงที่ วันศุกร์นี้จะมีการนำเสนอประกวดโครงการยุววานิช ที่โครงการค่ายของชมรมผ่านเข้ามาถึง 1 ใน 10 ของประเทศ (ไปชิงรางวัล 4 แสนบาท หุหุหุ แต่ตอนนี้ก็ได้อย่างต่ำไป 2 แสนแล้ว ก๊ากๆๆ)
และเรา เป็นผู้นำเสนอเสียด้วยสิเนี่ย!!! จึงแทบจะไม่มีเวลาที่จะ ทำงานอะไรเลย
เอาเถอะ เราจะสู้ๆ เย้ๆ

ใครที่ได้มาอ่านอยู่ ช่วยให้กำลังใจให้ไม่ติด ร ได้ด้วยการ comment  5555  หรือจะอวยพรให้ชนะการนำเสนอก็จะดีใจมาก

วันนี้กลับถึงบ้านตอน 2 ทุ่มครึ่ง (เมื่อวาน 4 ทุ่มเกือบครึ่ง) เพราะว่าทำหัว Kupo! (mascot ค่าย KUS Fun Camp) เหนื่อยจัง กลับบ้านทีไร หลับไม่ได้ทำการบ้านทุกที

ปล. น้อตเพิ่งรู้ว่าคำว่า “ฝาชี” นั้นก็คืออุปกรณ์ที่ไว้ครอบอาหารเวลาไม่มีคนกิน ในวันนี้นี่เอง

ไอ้บ้า…

คงเป็นคำถามในใจของหลายๆคนว่า ทำไมเราต้องทำกิจกรรมมากมายบ้าบอขนาดนี้
มีคำตอบของทุกๆคำถาม

เรารู้อะไรๆต่างกัน
เราตระหนักในสิ่งที่เรารู้ต่างกัน
สุดท้าย เราเลือกที่จะทำ ในสิ่งที่ตระหนักได้ต่างกัน

เมื่อเลือกแล้ว ก็ไม่มีใครถูกใครผิดอีกต่อไป
และนี้ คงเป็นคำตอบของทุกๆคน ที่เลือก ที่จะเดินตามความคิดของตัวเอง

ติวคอมรุ่นน้อง ภาค2

วันนี้เหนื่อยจังเลย…

วันนี้เป็นวันประชุมวันแรกของ กรรมการหน้าเสาธง ระหว่างที่ประชุมผมรู้สึกว่าสบายๆกว่าที่คิด ดูไปแล้วงานก็ไม่ค่อยหนักเท่าไหร่นะ ไม่รู้ว่าต่อๆไปจะหนักหนากว่าครั้งนี้ขนาดไหนอยากรู้จริง สำหรับงานที่ได้รับมอบหมายครั้งนี้ แต่น..แต้น.. ก็คือเดินไปรับเด็ก ม.1 เข้าแถว ดีจัง ฟังดูสบายดี

เวลาการประชุมล่าช้าเกินคาดจริงๆ กว่าจะเลิกก็ตอนบ่ายโมงเสียแล้ว ทำให้พอประชุมเสร็จไม่มีเวลาไปกินอาหาร เพราะได้เวลาติวคอมน้องๆที่น่ารัก(รึเปล่า?)แล้ว

พอเริ่มสอน จากหิวๆสอนๆไปมันกลับหายหิวไปเอง ดีจัง แต่ถึงอย่างไร เวลาล่วงมาถึงเกือบบ่าย 3 ก็ทนไม่ไหวต้องไปกินข้าวที่เตี้ยอุตส่าห์ใจดีซื้อมาฝากให้ถึงห้องที่สอน แล้วเตี้ยก็ไปสอนต่อจนเลิกเรียน…

ตกเย็น เดินทางไปบ้านอาจารย์จิ นั่งเรียนในบ้านอาจารย์จิ และ สัปหงกในบ้านอาจารย์จิ -_-”

เลิกเรียนก็กลับมาพักเหนื่อยที่บ้าน มานั่งเขียน blog นี้

“คุณผู้อ่านครับ คุณคยสังเกตเห็นปฏิกิริยาโต้ตอบแบบแปลกๆของร่างกายคุณบ้างไหม”

สำหรับผมมีก็จะมีปฏิกิริยาแบบธรรมดาๆอยู่เช่น เวลาเครียดก็จะปวดหัว หรือวันไหนที่ใช้ความคิดมากจะกินข้าวได้น้อย แต่มีแบบแปลกๆอยู่อย่างที่ไม่เข้าใจสาเหตุ ใครเป็นเหมือนกันช่วยบอกที นั้นคือ…เมื่อเวลาออกไปกลางแดดหรือมองดวงอาทิตย์แล้วจะจาม! แปลกไหม ว้าว! มันน่าตกใจมากเลย 555 เอาเป็นว่าใครก็ตามช่วยบอกผมทีว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

เอ๊ะ…จู่ๆความคิดมันไปถึงเรื่องนั้นได้อย่างไร ผมขอกลับมาเรื่องติวคอมเด็ก เพื่อจะได้ตรงกับหัวข้อเสียหน่อย… ก็สรุปว่าความตั้งใจที่จะติวทุกอย่างให้เสร็จสิ้นภายในปิดเทอมก็ล้มเหลว เด็กที่มาติวนั้นว่างไม่ตรงกัน ทางพวกเราก็อยากที่จะเห็นน้องทุกคนได้ติวครบทุกเรื่อง จึงต้องหาวันที่ทุกคนว่าง ผลออกมาก็คือวันที่ได้ติวลดไปเหลือน้อยกว่าครึ่งของวันที่ติวได้

แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเปิดเทอมไปก็ยังติวได้อยู่ แม้ว่าจะสะดวกน้อยลงและเป็นการเพิ่มภาระให้กับตัวผมเอง  พูดไปแล้ว งานๆนี้ถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อย แต่ก็ได้สนุกกับน้องๆและรู้สึกได้ทำตัวเพื่อสังคมโลกนี้บ้างในชีวิต อย่างน้อยๆ ตอนตายไปก็ยังพอจะภูมิใจว่า ชาตินี้ไม่ได้ทำอะไรแต่เพื่อตัวเองเสียอย่างเดียวหน่ะครับ แหะๆ

“คุณผู้อ่านครับ ก่อนที่จะคุณตายไป คุณได้ทำอะไรเพื่อโลกนี้แล้วหรือยังเอ่ย”